กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) มีมุมมองต่อทิศทางค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้ว่า มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 29.95-30.20 ต่อดอลลาร์เทียบกับระดับปิดแข็งค่าที่ 30.08 ต่อดอลลาร์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หลังเข้าทดสอบระดับแข็งค่าสุดของปี 2563 ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยมูลค่า 4.1 พันล้านบาท แต่ขายพันธบัตรสุทธิ 1.6 พันล้านบาท ทั้งนี้ มองว่านักลงทุนจับตาการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) วันที่ 15-16 ธ.ค. ซึ่งคาดว่าจะยังคงส่งสัญญาณกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง ส่วนธนาคารกลางอังกฤษ (บีโออี) และธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) มีกำหนดประชุมในสัปดาห์นี้เช่นกัน นอกจากนี้ ตลาดจะติดตามข้อมูลยอดค้าปลีกของสหรัฐฯ และประเด็น Brexit หลังการเจรจาระหว่างสหราชอาณาจักรและสหภาพยุโรปยังไร้ข้อตกลงร่วมกัน รวมถึงสถานการณ์ผู้ติดเชื้อ COVID-19 ขณะที่หลายประเทศหลักได้อนุมัติการใช้วัคซีนแล้ว ในภาวะเช่นนี้ คาดว่าเงินปอนด์จะผันผวนสูง ขณะที่ทิศทางของเงินดอลลาร์จะขึ้นอยู่กับท่าทีของเฟดในการสื่อสารกับตลาดถึงการดำเนินนโยบายเพื่อสอดรับกับกรอบนโยบายใหม่ซึ่งมุ่งให้ความสำคัญกับการสนับสนุนตลาดแรงงาน เรามองว่าเฟดจะประกาศเพิ่มการซื้อพันธบัตรระยะยาวในรอบนี้พร้อมกับส่งสัญญาณชัดเจนมากขึ้นต่อการเพิ่ม QE ในระยะถัดไป ซึ่งกรณีนี้จะกดดันเงินดอลลาร์ให้อ่อนค่าลง ในทางกลับกัน หากเฟดตัดสินใจตรึงโครงสร้างของ QE ไว้ตามเดิม จะสร้างความผิดหวังให้แก่ตลาด และเงินดอลลาร์อาจฟื้นตัวขึ้น
สำหรับปัจจัยภายในประเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยกเลิกการชี้แจงมาตรการเพิ่มเติมในการปรับระบบนิเวศใหม่ของตลาดอัตราแลกเปลี่ยนและการดูแลเงินบาท แต่ยังคงระบุว่า เงินบาทที่แข็งค่าขึ้นสะท้อนข่าวความคืบหน้าการพัฒนาวัคซีนและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ส่งผลให้สกุลเงินภูมิภาคแข็งค่าอย่างรวดเร็ว โดยธปท.ได้เข้าดูแลเพื่อชะลอความผันผวนที่จะกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย เราคาดว่าการแข็งค่าของเงินบาทจะถูกจำกัดด้วยสัญญาณดังกล่าวจากทางการเป็นสำคัญ ขณะที่ในภาพใหญ่ ตลาดจะรอผลการประชุมเฟดในสัปดาห์นี้และการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในสัปดาห์หน้า ก่อนที่สภาพคล่องการซื้อขายมีแนวโน้มเบาบางลงเมื่อเข้าสู่ช่วงเทศกาลคริสต์มาส