นายศิวพงษ์ บุญสาลี กรรมการผู้จัดการ บมจ.ศักดิ์สยามลิสซิ่ง เปิดเผยว่า บริษัทฯ คาดจะสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ได้ในช่วงต้นเดือน ธ.ค.นี้ โดยมีวัตถุประสงค์จะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ไปขยายธุรกิจผู้ให้บริการสินเชื่อรายย่อย ซึ่งมีเป้าหมายจะขยายสาขาให้บริการเพิ่มอีกปีละ 200 สาขา ครอบคลุมทั้งระดับจังหวัด อำเภอ และตำบลในภูมิภาคอื่นๆ รวมถึงพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) เพื่อปรับปรุงระบบการให้บริการสินเชื่อให้มีประสิทธิภาพและรวดเร็ว ตั้งแต่ขั้นตอนการขอสินเชื่อ การพิจารณาสินเชื่อ การจัดทำสัญญา การรับชำระหนี้ การบริหารหนี้สูญ และการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าเชิงลึก เพื่อสนับสนุนพอร์ตสินเชื่อให้เติบโตมากขึ้น
บริษัทฯ วางเป้าหมายภายในปี 66 จะมีจำนวนสาขาและพอร์ตสินเชื่อเติบโตเป็น 2 เท่า หรือเพิ่มเป็น 1,119 สาขา และ 12,000 ล้านบาท ตามลำดับ จากสิ้นเดือน มิ.ย.63 บริษัทฯ มีสาขาทั้งสิ้น 519 สาขา แบ่งเป็นเขตพื้นที่ภาคกลาง 197 สาขา ภาคเหนือ 184 สาขา ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 128 สาขา และภาคตะวันตก 10 สาขา รวมถึงมีพอร์ตสินเชื่อรวมอยู่ที่ 6,067 ล้านบาท และมีจำนวนสัญญาสินเชื่อรวม 230,273 สัญญา แบ่งเป็นลูกหนี้ที่มีหลักประกัน 88% และลูกหนี้ไม่มีหลักประกัน 12% ของพอร์ตสินเชื่อรวม
"การเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ในครั้งนี้เพื่อระดมทุนไปขยายกิจการ โดยการขยายพอร์ตสินเชื่อให้เติบโตได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น จากปัจจุบันเรามีการใช้เงินลงทุนส่วนใหญ่มาจากการกู้ยืมสถานบันการเงิน ซึ่งการที่เราเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ จะทำให้เราสามารถระดมทุนจากช่องทางอื่นๆ ได้มากขึ้นในอนาคต ขณะเดียวกัน ภายหลังจากการเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ไปแล้ว เรายังคงมุ่งเน้นการขยายสาขาที่เคียงข้างไปกับชุมชน ที่ลงไปถึงระดับตำบล อำเภอ ซึ่งเอกลักษณ์ของเราคือการที่เราเข้าใจ เข้าถึงวิถีชีวิตและความต้องการของประชาชน โดยเฉพาะความต้องการสินเชื่อสำหรับพี่น้องที่เป็นเกษตรกร หรือที่ทำงานอยู่ในท้องถิ่น" นายศิวพงษ์ กล่าว
ทั้งนี้ จากการโรดโชว์แก่นักลงทุนจังหวัดอุตรดิตถ์ในสัปดาห์ที่ผ่านมา บริษัทฯ มั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน เนื่องด้วยเป็นผู้ประกอบธุรกิจให้บริการสินเชื่อรายย่อยระดับภูมิภาค ภายใต้การกำกับดูแลจากหน่วยงานภาครัฐ โดยมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการดำเนินธุรกิจมานานกว่า 25 ปี และด้วยจุดแข็งของบริษัทฯ ที่มีการคิดอัตราดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมอยู่ในระดับกลางๆ และวิธีการให้บริการ เข้าหาและเข้าใจลูกค้า เพื่อรักษาฐานลูกค้าให้อยู่กับ ศักดิ์สยามลิสซิ่งไปนานๆ รวมถึงการหาลูกค้าใหม่ จากการเน้นเปิดสาขาตามแหล่งชุมชน ซึ่งปัจจุบันลูกค้าของบริษัทฯ ส่วนใหญ่จะเป็นเกษตรกร และพ่อค้าแม่ค้าที่อยู่ต่างจังหวัด
อย่างไรก็ตาม ศักดิ์สยามลิสซิ่ง นับว่าเป็นหุ้นตัวแรกของจังหวัดอุตรดิตถ์ที่จะเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยปัจจุบันมีจำนวนสาขาในจังหวัดอุตรดิตถ์อยู่ที่ 44 สาขา และมีจำนวนลูกค้ามากกว่า 30,000 ราย โดยมีวงเงินการปล่อยสินเชื่อเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 30,000-35,000 บาทต่อราย ขณะที่กลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรที่มีความต้องการสินเชื่อ เพื่อนำมาหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ และค่อนข้างมีความซื่อตรงในการชำระค่างวด
นายศิวพงษ์ กล่าวว่า สำหรับโอกาสในการเติบโตของธุรกิจสินเชื่อรายย่อย บริษัทฯ มองว่ายังมีโอกาสในการเติบโตอีกมาก เนื่องจากประชากรส่วนใหญ่ของประเทศไทย ประกอบอาชีพเกษตรกรรมที่ต้องการสินเชื่อนำไปเป็นทุนประกอบอาชีพ ขณะเดียวกัน การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมาส่งผลให้เศรษฐกิจไทยอยู่ในภาวะถดถอยอย่างรุนแรง ทำให้ประชาชนขาดสภาพคล่อง จึงเป็นโอกาสที่ศักดิ์สยามลิสซิ่ง จะเข้าไปช่วยเหลือประชาชนที่ต้องการเงินทุน ผ่านผลิตภัณฑ์ 4 ประเภท ได้แก่ 1.สินเชื่อทะเบียนรถ (Vehicle Title Loan) 2.สินเชื่อส่วนบุคคล (Personal Loan) 3.สินเชื่อรายย่อยเพื่อการประกอบอาชีพ (Nano Finance) และ 4.สินเชื่อเช่าซื้อและสินเชื่อรถแลกเงิน (Hire-Purchase and Car for Cash)
ขณะที่ปัจจุบันบริษัทฯ มีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) อยู่ที่ระดับ 2.2-2.5% ปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากครึ่งปีแรก จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว แต่อย่างไรก็ตาม ผลกระทบที่เกิดจากเศรษฐกิจชะลอตัว ส่งผลต่อภาวะหนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นนั้น บริษัทฯ ได้รับผลกระทบไม่มากนัก เนื่องจากมีลูกค้าเป็นกลุ่มเกษตรกร และพ่อค้าแม่ค้าที่ยังมีรายได้เข้ามาอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งการชำระค่างวดของบริษัทฯ จะเป็นลักษณะ 4 เดือน/ครั้ง เพื่อช่วยเหลือกลุ่มลูกค้าดังกล่าว รวมถึงยังคิดอัตราดอกเบี้ยในระดับปานกลาง