ดับบลิวพี เอ็นเนอร์ยี่ เตรียมเปิดดำเนินการคลังเก็บและจ่ายก๊าซบางปะกง ส่วนต่อขยายเฟส 3 ความจุกว่า 8,700 ตัน ซึ่งส่งผลให้คลังเก็บและจ่ายก๊าซบางปะกงเป็นคลังก๊าซขนาดใหญ่ที่สุดของบริษัทด้วยความจุรวมทั้ง 3 เฟส ถึง 13,015 ตัน ปัจจุบัน ก่อสร้างแล้วเสร็จและอยู่ในช่วงทดลองระบบ ซึ่งจะช่วยเสริมศักยภาพของคลังเก็บและจ่ายก๊าซแอลพีจีของบริษัททั่วประเทศให้มีความสามารถบรรจุก๊าซรวมเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 18,341 ตัน สอดคล้องต่อข้อบังคับของกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) ที่กำหนดให้ผู้ค้าแอลพีจี มาตรา 7 ต้องสำรองก๊าซแอลพีจีในคลังเพิ่มจาก 1% (3 วัน) เป็น 2% (7 วัน) ของปริมาณการค้าประจำปี เพื่อเสริมความมั่นคงระบบพลังงานไทย มั่นใจสามารถเปิดดำเนินการได้ 1 มกราคม 2564 อย่างแน่นอน
นายนพวงศ์ โอมาธิกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานการเงินและบริหารองค์กร บริษัท ดับบลิวพี เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ WP กล่าวว่า ในการขยายศักยภาพคลังเก็บและจ่ายก๊าซบางปะกง เฟส 3 ครั้งนี้ บริษัทได้ทุ่มงบในการลงทุนก่อสร้างกว่า 550 ล้านบาท เพื่อเป็นการสนองนโยบายของกรมธุรกิจพลังงาน ที่กำหนดให้ผู้ค้าแอลพีจี มาตรา 7 ต้องสำรองก๊าซแอลพีจีในคลังเพิ่มจาก 1% (3 วัน) เป็น 2% (7 วัน) ของปริมาณการค้าประจำปี เพื่อเสริมความมั่นคงระบบพลังงานไทย และรองรับการเปิดเสรีธุรกิจในอนาคต ควบคู่กับการเสริมศักยภาพของซัปพลายเชนด้านพลังงานของไทยครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ โดยมีการเพิ่มความจุในเฟส 3 กว่า 8,700 ตัน จะส่งผลให้คลังเก็บและจ่ายก๊าซบางปะกงกลายเป็นคลังก๊าซขนาดใหญ่ที่สุดของบริษัท ด้วยความจุรวมทั้ง 3 เฟสกว่า 13,015 ตัน
โดยคลังเก็บก๊าซบางปะกงแห่งนี้ มีทำเลที่ตั้งริมแม่น้ำบางปะกง รองรับการขนส่งก๊าซทางเรือจากอ่าวไทยได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์ในการรับ และกระจายสินค้าของบริษัทสู่ภาคกลางตอนล่าง และภาคตะวันออกของประเทศไทย รวมถึงเป็นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานพร้อมรองรับแผนการในการกระจายสินค้าทางเรือในอนาคต เอื้อต่อการกระจายสินค้าเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าอย่างทั่วถึง ทั้งในภาคขนส่ง ภาคอุตสาหกรรม พาณิชยกรรมและภาคครัวเรือน รวมถึงทำให้บริษัทมีศักยภาพในการแยกเก็บก๊าซโดยแยกตามคุณภาพตามความต้องการของลูกค้าในแต่ละกลุ่มได้มากขึ้น โดยคาดว่าช่วยลดค่าใช้จ่ายจากการฝากสำรองก๊าซของบริษัทในปัจจุบันได้
ทั้งนี้ ปัจจุบัน ดับบลิวพี เอ็นเนอร์ยี่ มีคลังเก็บและจ่ายก๊าซทั้งหมด 5 แห่งทั่วประเทศ ความจุรวม 18,341 ตัน ประกอบด้วย
คลังเก็บและจ่ายก๊าซบางปะกง (ฉะเชิงเทรา) ครอบคลุมพื้นที่ภาคกลางตอนล่างและภาคตะวันออก ความจุ 13,015 ตัน
คลังเก็บและจ่ายก๊าซบางจะเกร็ง (สมุทรสงคราม) ครอบคลุมพื้นที่ภาคตะวันตกและภาคใต้ตอนบน ความจุ 1,800 ตัน
คลังเก็บและจ่ายก๊าซขอนแก่น ครอบคลุมพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ความจุ 1,980 ตัน
คลังเก็บและจ่ายก๊าซลำปาง ครอบคลุมพื้นที่ภาคเหนือตอนบน ความจุ 186 ตัน
คลังเก็บและจ่ายก๊าซพิจิตร ครอบคลุมพื้นที่ภาคเหนือตอนล่างและภาคกลางตอนบน ความจุ 1,360 ตัน
“การเพิ่มศักยภาพในการขยายคลังเก็บและจ่ายก๊าซบางปะกง เฟส 3 นี้ จะสามารถเพิ่มศักยภาพของซัปพลายเชนของเราในการกระจายสินค้าให้ครอบคลุมและรวดเร็วทันต่อความต้องการของลูกค้ามากขึ้น รวมถึงเป็นการช่วยในเรื่องการบริหารค่าใช้จ่ายของบริษัทได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นทั้งในเรื่องของการขนส่ง และการฝากสำรองก๊าซ ซึ่งจะช่วยสร้างผลตอบแทนที่ดีขึ้นในทุกๆ ด้านให้แก่บริษัท อีกทั้งยังส่งผลให้ดับบลิวพี เอ็นเนอร์ยี่ เป็นต้นแบบของผู้ค้าก๊าซมาตรา 7 ที่ดำเนินธุรกิจภายใต้หลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี เป็นไปตามกฎข้อบังคับและนโยบายของกรมธุรกิจพลังงานและภาครัฐ ซึ่งจะช่วยยกระดับให้ปริมาณก๊าซของผู้ค้าก๊าซแอลพีจีในระบบพลังงานไทยมีความมั่นคงมากขึ้น” นายนพวงศ์ กล่าว