ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า ในการประชุม กนง. ในวันที่ 23 กันยายนนี้ คณะกรรมการฯ จะพิจารณาคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.50% โดยมาตรการที่จำเป็นในขณะนี้คงมุ่งเน้นไปที่เรื่องสภาพคล่องของธุรกิจและครัวเรือน ซึ่งน่าจะเป็นมาตรการที่แก้ปัญหาได้ตรงจุดมากกว่าการปรับลดดอกเบี้ย
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า กนง. คงพิจารณาคงดอกเบี้ยไว้เพื่อรักษาความสามารถในการดำเนินนโยบายการเงินไว้ใช้ในยามจำเป็นโดยมองว่าการปรับลดดอกเบี้ยเข้าใกล้ศูนย์ยังไม่มีความจำเป็นในสถานการณ์ปัจจุบัน ขณะที่การปรับลดดอกเบี้ยอาจไม่ได้แก้ปัญหาเศรษฐกิจที่เผชิญอยู่ได้ตรงจุดเท่าใดนัก โดยคาดว่า กนง. อาจจะรักษาดอกเบี้ยในระดับนี้ไปอย่างน้อยจนถึงสิ้นปีนี้ หากแนวโน้มเศรษฐกิจไทยไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ สอดคล้องต่อนโยบายการเงินของธนาคารกลางต่างๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่ล่าสุด ส่งสัญญาณว่าจะคงดอกเบี้ยในระดับใกล้ศูนย์ไปอย่างน้อยจนถึงปี 2566 หลังจากมีมติปรับยุทธศาสตร์นโยบายการเงินและเป้าหมายในระยะยาว โดยปรับเปลี่ยนมาใช้เป้าหมายอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ย (Average Inflation Targeting) แทนเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อเดิมที่คงที่
ทั้งนี้ มาตรการที่จำเป็นในขณะนี้น่าจะมุ่งเน้นไปที่เรื่องสภาพคล่องของธุรกิจและครัวเรือน ซึ่งน่าจะเป็นมาตรการที่แก้ไปปัญหาได้ตรงจุดมากกว่าการปรับลดดอกเบี้ย โดยหลังจากที่มาตรการพักชำระหนี้จะสิ้นสุดลงในเดือนตุลาคมนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ทยอยออกมาตรการปรับโครงสร้างหนี้เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้มาเป็นระยะๆ เช่น มาตรการปรับโครงสร้างหนี้ด้วยวิธีการรวมหนี้ (debt consolidation) เป็นต้น และเชื่อว่าในระยะข้างหน้า ธปท.คงออกมาตรการเพื่อช่วยแก้ปัญหาลูกหนี้ประเภทต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ลูกหนี้สามารถผ่านพ้นวิกฤตโควิด-19 นี้ไปได้ ซึ่งจะช่วยบรรเทาปัญหาหนี้เสีย (NPLs) ที่อาจเกิดขึ้น
นอกจากผลการประชุม กนง. คงต้องติดตามประมาณการเศรษฐกิจใหม่ ซึ่งคาดว่าธปท.อาจมีมุมมองต่อเศรษฐกิจไทยที่ไม่เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยหากมีการปรับลดประมาณการเศรษฐกิจลง คงปรับลดเพียงเล็กน้อย เนื่องจากประเด็นจำนวนนักท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มต่ำกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ และการเบิกจ่ายงบประมาณที่ต่ำกว่าแผนเป็นหลัก อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยยังเผชิญความเสี่ยงสูง ส่งผลให้ กนง. ต้องคอยประเมินสถานการณ์ และชั่งน้ำหนักความเสี่ยงด้านต่างๆ รวมถึงประเมินความเพียงพอของมาตรการทางการเงินและทางการคลัง ในการพิจารณานโยบายการเงินในระยะข้างหน้า หากสถานการณ์มีทิศทางไปในทางลบมากกว่าที่คาด กนง. อาจพิจารณาออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอีกเพิ่มเติม รวมถึงมีความเป็นไปได้ที่ กนง. อาจปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย รวมถึงออกมาตรการทางการเงินแบบ unconventional ต่างๆ ในระยะข้างหน้า