หุ้นปิดลบ 7.62 จุด อ่อนแอกว่าภูมิภาคที่ได้รับปัจจัยบวกจากความคืบหน้าวัคซีนต้านโควิด-19 ขณะที่ตลาดหุ้นไทยมีปัจจัยถ่วงเฉพาะตัวเดิมกดดันทั้งจากสถานการณ์การเมือง และไร้ รมว.คลังคนใหม่ดูแลเศรษฐกิจ แต่สิ่งที่เพิ่มเติมเข้ามาในวันนี้คือความล่าช้าของงบประมาณปี 64 กระทบต่อความเชื่อมั่นและบรรยากาศการลงทุน พร้อมมองแนวโน้มยังซึมตัวลงต่อในวันพรุ่งนี้
นายวีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเคลื่อนไหวสอดคล้องกับที่ประเมินว่าจะแกว่งตัวอ่อนแอกว่าภูมิภาค โดยตลาดหุ้นเอเชีย ยุโรป และดาวโจนส์ฟิวเจอร์สล้วนแต่ปรับตัวขึ้น ขานรับประเด็นความคืบหน้าของวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 และรับแรงซื้อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี
ขณะที่ตลาดหุ้นไทยมีแรงกดดันเฉพาะตัว นอกจากเรื่องของสถานการณ์การเมือง และการที่ยังไม่มีความชัดเจนของผู้เข้ามาดำรงตำแหน่ง รมว.คลังคนใหม่แล้ว วันนี้ยังมีประเด็นเพิ่มเติมจากงบประมาณปี 64 ที่อาจมีความล่าช้า โดยร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564 มีกำหนดจะเข้าสู่การพิจารณาในวาระที่ 2 และ 3 ในวันที่ 16-18 ก.ย.นี้ แต่มีรายงานข่าวว่าสำนักงบประมาณทำหนังสือแจ้งหน่วยงานต่างๆ ว่างบประมาณปี 64 จะใช้บังคับไม่ทันในวันที่ 1 ต.ค.นี้
กรณีดังกล่าวเป็นสิ่งที่ตลาดไม่ได้คาดมาก่อน และเป็นปัจจัยกดดัน เพราะการใช้จ่ายของภาครัฐนับเป็นเครื่องยนต์เดียวในขณะนี้ที่จะช่วยประคองเศรษฐกิจไว้ได้ ถ้าหากงบประมาณยังมีความล่าช้า ประกอบกับยังไม่มี รมว.คลังเข้ามาดูแลเศรษฐกิจ ก็จะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและบรรยากาศการลงทุนโดยรวม ส่วนสถานการณ์การเมืองทั้งในสภาฯ ที่จะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และการชุมนุมนอกสภาฯ ที่จะมีขึ้นในวันที่ 19 ก.ย.นี้ ก็ยังเป็นปัจจัยที่เข้ามารบกวนตลาดต่อเนื่อง
ด้านภาวะตลาดหุ้นไทยปิดการซื้อขายที่ระดับ 1,272.34 จุด ลดลง 7.62 จุด หรือเปลี่ยนแปลง -0.60% มูลค่าการซื้อขาย 40,463.20 ล้านบาท ด้านประเภทนักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 1,614.53 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ 466.89 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 526.66 ล้านบาท และนักลงทุนในประเทศซื้อสุทธิ 620.98 ล้านบาท
สำหรับแนวโน้มการลงทุนในวันพรุ่งนี้ (15 ก.ย.) คาดว่าตลาดหุ้นไทยจะยังแกว่งซึมตัวลง โดยมีแนวรับที่บริเวณ 1,270 และ 1,260 จุด ส่วนแนวต้านที่ 1,285 และ 1,290 จุด