เอิร์ธ เท็ค เอนไวรอนเมนท์ เทรดวันแรกปิดที่ 2.72 บาท หรือเพิ่มขึ้น 4.62% จากราคาจองไอพีโอที่หุ้นละ 2.60 บาท โบรกฯ มองราคาหุ้นไอพีโอค่อนข้างสูง และสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลดีต่อการดำเนินงานในอนาคต
หุ้นของ บมจ.เอิร์ธ เท็ค เอนไวรอนเมนท์ หรือ ETC เข้าเทรดเป็นวันแรก พบว่า ราคาหุ้นเปิดเทรดที่ 4.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.40 บาท หรือ 53.85% จากราคาขาย IPO ที่หุ้นละ 2.60 บาท ระหว่างวันราคาหุ้นปรับขึ้นไปสูงสุดที่ 4.60 บาท ต่ำสุดที่ 2.64 บาท เมื่อตลาดปิดราคาหุ้นอยู่ที่ 2.72 บาท เพิ่มขึ้น 0.12 บาท คิดเป็น 4.62% มูลค่าซื้อขาย 5,952.83 ล้านบาท
บล.ทิสโก้ ประเมินมูลค่าที่เหมาะสมเบื้องต้นของ ETC ว่าราคา IPO นับว่าเป็นราคาที่ค่อนข้างสูงแล้ว แม้ว่าผลประกอบการช่วงไตรมาส 2 จะเติบโตสูงจากการรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าทั้งหมดเต็มไตรมาสแล้ว และโครงการใหม่ๆ ยังต้องรอการประมูลโรงไฟฟ้าของภาครัฐในอนาคต และด้วย PER ของธุรกิจที่ประกอบธุรกิจโรงไฟฟ้าใกล้เคียงกันอยู่ที่ระดับ 8-14 เท่า เทียบกับ ETC ที่คาดว่าจะเกิน 20 ท่าสำหรับปี 2563 ทั้งปี
บล.โกลเบล็ก ประเมินว่า ราคา IPO หุ้น ETC ซื้อขายที่ PE ratio 85.82 เท่า มีเงื่อนไขการซื้อเพื่อส่งมอบหุ้นที่จัดสรรเกิน (Greenshoe option) 60 ล้านหุ้น ช่วงเวลาซื้อ 18 ส.ค.-16 ก.ย.2563 และผลประกอบการไตรมาส 2 ETC มีกำไร 62 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 170% จากปีก่อน และ 203% จากไตรมาสก่อนจากการเริ่มรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าขยะครบทั้ง 3 แห่ง ที่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า 16.50MW จากเดิมในปีที่แล้ว รับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าเพียงแห่งเดียวที่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า 8MW
นอกจากนี้ มีโอกาสเติบโตตามแผน PDP 2018 มีเป้าหมายการผลิตไฟฟ้าจากขยะชุมชนและขยะอุตสาหกรรมเท่ากับ 900MW และ 75MW ภายในปี 80 ตามลำดับ อย่างไรก็ดี ณ เดือน เม.ย.63 มีกำลังผลิตไฟฟ้าจากขยะชุมชนและขยะอุตสาหกรรมเพียง 333MW และ 31MW ตามลำดับ ดังนั้น ยังมีโรงไฟฟ้าจากขยะชุมชนและขยะอุตสาหกรรมที่ยังไม่ได้ทำสัญญาซื้อขายไฟกับภาครัฐอีก 568MW และ44MW ตามลำดับ
สำหรับ ETC ประกอบธุรกิจหลักผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนรวมทั้งธุรกิจให้บริการด้านการออกแบบวิศวกรรมโรงไฟฟ้า การจัดทำเครื่องจักรและอุปกรณ์โรงไฟฟ้าและการก่อสร้างโรงไฟฟ้าแบบครบวงจร โดยบริษัทมีโรงไฟฟ้าที่แก่งคอย จังหวัดสระบุรี กำลังการผลิตเสนอขาย 8.0 เมกะวัตต์ (MW) ปัจจุบันบริษัทมีบริษัทย่อย 2 แห่งคือ RH และ AVA ซึ่งได้เริ่มดำเนินธุรกิจจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ตั้งแต่ครึ่งหลังปี 2562 รวม 8.5 MW (ที่พิจิตรและอยุธยา) จากการใช้เชื้อเพลิง RDF ในการสร้างความร้อนและมีสัญญาขายไฟอายุ 20 ปีภายใต้ระบบ FiT และได้รับ BOI ยกเว้นภาษี และมีแผนที่จะเข้าประมูลโรงไฟฟ้าขยะของภาครัฐเพิ่ม
สำหรับงบไตรมาส 2 ประจำปี 2563 ซึ่งบริษัทฯ มีรายได้รวม 176 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 105% จากรายได้รวม 86 ล้านบาท และมีกำไรขั้นต้น 99 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 102 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 62 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 203% โดยมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า16.50 เมกะวัตต์ เป็นไตรมาสแรก จากเดิมในปีที่แล้ว ETC รับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าเพียงแห่งเดียวที่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า 8 เมกะวัตต์ นอกจากนี้ โรงไฟฟ้าใหม่ทั้ง 2 แห่ง คือ โรงไฟฟ้าขยะ RH และโรงไฟฟ้าขยะ AVA มีอัตรารับซื้อไฟฟ้าแบบ FiT สูงถึง 6.83 บาท/หน่วย ซึ่งเป็นอัตราการรับซื้อไฟฟ้าที่สูงที่สุดเมื่อเทียบกับเชื้อเพลิงประเภทอื่นและทำให้บริษัทฯ มีอัตรากำไรต่อเมกะวัตต์ค่อนข้างสูง
ส่งผลให้ไตรมาส 2 นี้ ETC มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงถึง 56.25% และมีอัตรากำไรสุทธิสูงถึง 35% ซึ่งอัตรารายได้รวมและอัตรากำไรของไตรมาส 2 นี้ อาจใช้เป็นมาตรฐานของการดำเนินงานของบริษัทฯ เนื่องจากเป็นผลการดำเนินงานที่มาจากการรับรู้รายได้จากการขายไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง นอกจากนี้ บริษัทฯ จะพยายามปรับปรุงเพิ่มความสามารถในการทำกำไร ด้วยการบริหารดูแลซ่อมแซมโรงไฟฟ้าตลอดจนลดต้นทุนการผลิต การบริหารและต้นทุนทางการเงินอย่างต่อเนื่อง