“พลังงานบริสุทธิ์” ยังเดินหน้าโกยรายได้-กำไรต่อเนื่อง จากธุรกิจพลังงงานไฟฟ้าและไบโอดีเซล ผลักดันตัวเลขผลดำเนินงานมีโอกาสเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากปีก่อน แม้ธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้าไม่อาจส่งมอบได้ตามแผน เหตุได้รับผลกระทบจากเชื้อไวรัส โควิด-19 ส่งผลให้เป้าหมายสัดส่วนรายได้จากธุรกิจใหม่อาจไม่เป็นไปตามเป้า ผู้บริหารย้ำไม่ส่งผลกระทบต่อฐานะการเงินและผลประกอบการ
ถูกหยิบยกให้เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ได้รับผลกระทบน้อยจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสCovid-19 ที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ช่วงต้นปี สำหรับ บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA บริษัทด้านพลังงานรายใหญ่ของประเทศที่เริ่มก่อร่างสร้างตัวมากับธุรกิจ ไบโอดีเซล และขยายไปสู่ธุรกิจพลังงานทางเลือกในรูปแบบอื่นๆ จนเข้าสู่การเบนเข็มครั้งสำคัญของธุรกิจนั่นคือ ธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า (EV) แบตเตอรี่ และสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า
ล่าสุด บริษัทรายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาส1/63 (สิ้นสุด ณ วันที่ 31 มีนาคม 2563) มีรายได้รวม 4,761ล้านบาท เพิ่มขึ้น 54% จากงวดเดียวกันปีก่อน ที่มีรายได้ 3,080 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 1,452 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% จากงวดเดียวกันปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 1,211 ล้านบาท โดยมีปัจจัยสนับสนุนจาก ธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และลม ซึ่งมีขนาดกำลังการผลิตรวม 664 เมกะวัตต์นั้น ในไตรมาส 1/63 หน่วยการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังงานลมเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากโครงการหนุมาน โรงไฟฟ้าพลังงานลมขนาด 260 เมกะวัตต์ที่ตั้งอยู่ในจังหวัดชัยภูมิ ที่เริ่มทยอยผลิตไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ในช่วงไตรมาสที่ 1-2 ของปีก่อน เมื่อเปรียบเทียบกับปีนี้ ที่สามารถผลิตไฟฟ้าได้เต็มกำลังตลอดไตรมาส จึงสามารถผลิตไฟฟ้าได้สูงขึ้นจากปีก่อนถึง 362% ประกอบกับโครงการหาดกังหัน โรงไฟฟ้าพลังงานลมขนาด 126 เมกะวัตต์ที่ตั้งอยู่ในจังหวัดสงขลาและนครศรีธรรมราชสามารถผลิตไฟฟ้าได้สูงขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนถึง 14% จากกระแสลมแรงตลอดไตรมาสที่ผ่านมา ส่วนโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 4 แห่ง ที่มีกำลังการผลิตรวมกัน 278 เมกะวัตต์ สามารถผลิตไฟฟ้าได้ใกล้เคียงกับงวดเดียวกันของปีก่อน
ขณะเดียวกันรายได้จากธุรกิจไบโอดีเซล มีการเติบโตที่สูงขึ้นถึง 120% เป็นผลมาจากราคาขายน้ำมันไบโอดีเซลที่สูงขึ้นตามราคาน้ำมันปาล์มดิบที่เป็นวัตถุดิบหลักที่ปรับตัวสูงขึ้น เนื่องมาจากการที่ภาครัฐส่งเสริมการใช้น้ำมัน B10 เป็นดีเซลพื้นฐานของประเทศตั้งแต่เดือนมกราคมเป็นต้นมา ทำให้เกิดความต้องการเพิ่มขึ้น ประกอบกับต้องมีการปรับคุณสมบัติของ B100 เพื่อให้นำไปใช้เป็น B10 ได้ จึงทำให้ราคาขายขยับสูงขึ้น
นายอมร ทรัพย์ทวีกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร EA เผยว่าผลประกอบการปี 2563 จะสามารถสร้างสถิติสูงสุดใหม่ได้อีกครั้ง เนื่องจากธุรกิจโรงไฟฟ้าทั้งจากพลังงานลมและโซลาร์ฟาร์มจะสามารถผลิตไฟฟ้าได้เต็มกำลังการผลิต 664 เมกะวัตต์ เป็นปีแรก และจะเริ่มรับรู้รายได้จากผลิตภัณฑ์สารเปลี่ยนสถานะหรือ PCM ที่จะเริ่มผลิตและส่งออกตั้งแต่เดือนพฤษภาคมนี้เป็นต้นไป โดยไม่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ส่วนธุรกิจไบโอดีเซลมีแนวโน้มรายได้ที่ลดลงจากการลดการเดินทางและใช้ยานพาหนะ ส่วนธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้ามีการปรับแผนเพื่อขยายเวลาการเริ่มผลิตและส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ซึ่งไม่ได้ส่งผลกระทบต่อฐานะการเงินและผลประกอบการของบริษัทแต่อย่างใด
เพิ่มงบลงทุนหนุนขยายงาน
จากแผนธุรกิจที่เดินหน้าในงานส่วนต่างๆแบบไม่หยุดนิ่ง ทำให้ EA ปรับเพิ่มงบลงทุนในปี 2563 เป็น 12,400 ล้านบาท จากเดิมที่ตั้งไว้ประมาณ 7,400 ล้านบาท หลังบอร์อและผู้ถือหุ้นมีมติเห็นชอบและอนุมัติให้เข้าลงทุนตามแผนที่บริษัทมุ่งหมายไว้
ดังนั้นจากแผนการลงทุนต่อเนื่อง แต่สำหรับสัดส่วนรายได้ปี 2563 บริษัทคาดว่าจะยังคงมีรายได้ส่วนใหญ่มาจากธุรกิจพลังงานทดแทน 65% รองลงมาคือธุรกิจไบโอดีเซล 29%, ธุรกิจกรีนดีเซลและ การผลิต "สารเปลี่ยนสถานะ" หรือ PCM 4%, ธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า 1% และธุรกิจสถานีชาร์จและเรือเฟอร์รี่ไฟฟ้ารวม 1%
บริษัทยืนยันว่า ช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส Covid-19 ที่ผ่านมามีผลกระทบค่อนข้างน้อยต่อผลประกอบการของบริษัท โดยเฉพาะอย่างยิ่งในธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าที่ยังสามารถดำเนินการได้ตามปกติ ภายใต้มาตรการดูแลพนักงาน เช่น การใช้หน้ากากอนามัย เจลล้างมือ และแอพพลิเคชัน"หมอชนะ" ทำให้สามารถดำเนินธุรกิจและดำเนินการโครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้างได้โดยไม่หยุดชะงัก
ส่วนความคืบหน้าโรงงานผลิต PCM คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จและสามารถส่งมอบได้ภายในปลายเดือนมิถุนายนนี้ ภายหลังจากมีการทดสอบระบบเสร็จสิ้นคาดว่าจะสามารถทยอยเพิ่มกำลังการผลิตได้ถึง 65 ตัน/วัน ส่วนธุรกิจเรือเฟอร์รี่ไฟฟ้า (E-ferry) ให้บริการในเส้นแม่น้ำเจ้าพระยา ปัจจุบันอยู่ระหว่างการทดสอบและจดทะเบียนเดินเรือ คาดว่าสามารถเริ่มให้บริการได้ในครึ่งหลังของปีนี้ และสามารถให้บริการครบ 42 ลำตามแผนได้ในไตรมาส1 ปี 64 จากภาพรวม ต้องยอมรับว่าในแง่รายได้จากธุรกิจต่างๆของบริษัทมีความมั่นคงและแน่นมาก
อย่างไรก็ตาม ตอนแรก พระเอกของงานสำหรับ EA ในปีนี้ หลายฝ่ายมองไปที่ธุรกิจใหม่ที่จะกลายเป็นจุดหักเหทางธุรกิจอย่างรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งมียอดจองสิทธิ์ไปแล้ว 5,000 คัน โดยปีนี้จะเริ่มต้นส่งมอบรถ และรับรู้รายได้อย่างมีนัยสำคัญ แต่ด้วยการแพร่ระบาดของ Covid-19 ทำให้จำเป็นต้องเลื่อนการส่งมอบออกไป ทำให้หลายคนเริ่มตั้งคำถามต่อแนวโน้มการเติบโตของEA ในปี 2563 ว่าจะเดินหน้าไปได้ไกลกว่าปีที่ผ่านมาได้มากน้อยเพียงใด ขณะที่ธุรกิจแบตเตอรี่ อยู่ระหว่างซื้อที่ดินและปรับโซนที่ตั้งโรงงานเพื่อรับสิทธิ์ในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) อีกทั้งแผนจัดตั้งสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ภายใต้แบรนด์ “EA Anywhere” ที่ปีนี้วางเป้าจะขยายให้ครบ 1,000 สาขา ครอบคลุมในกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ ก็ส่อเค้าจะไม่เป็นไปตามแผน จนนำไปสู่ข้อกังวลที่ว่าสัดส่วนรายได้จากธุรกิจรถยนตไฟฟ้าที่บริษัทตั้งเป้าจะเพิ่มขึ้นเป็น 25-30%ของรายได้ทั้งหมดในปี 2564 ขณะที่ธุรกิจพลังงานไฟฟ้าและไบโอดีเซล จะลดลง 40-45% และ 20% นั้นอาจไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้
ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร-หุ้นกู้
ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA ที่ระดับ “A” และคงอันดับเครดิตของหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันที่ “A-” โดยอันดับเครดิตของหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันที่ลดลง 1 ขั้นจากอันดับเครดิตองค์กรสะท้อนถึงโครงสร้างที่ด้อยกว่าของหุ้นกู้ จากการที่บริษัทมีฐานะเป็นบริษัทโฮลดิ้ง ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งยังคงอันดับเครดิตหุ้นกู้มีการค้ำประกันที่ระดับ “AA” เช่นเดิม ทั้งนี้ หุ้นกู้ทั้งหมดของบริษัทได้รับการค้ำประกันโดยธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งได้รับการจัดอันดับเครดิตในระดับสากล (International Scale) ที่ระดับ “BBB+” จาก S&P Global Ratings โดยอันดับเครดิตของบริษัทสะท้อนถึงกระแสเงินสดที่แข็งแรงจากพอร์ตการลงทุนในโรงไฟฟ้า และผลการดำเนินงานที่สม่ำเสมอของโครงการโรงไฟฟ้าดังกล่าว รวมถึงสถานะทางการเงินยังคงดี อย่างไรก็ตามอันดับเครดิตถูกจำกัดจากแผนการลงทุนขนาดใหญ่และความเสี่ยงในการพัฒนาโครงการที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจผลิตแบตเตอรี่
สำหรับประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต กระแสเงินสดที่มั่นคงจากธุรกิจผลิตไฟฟ้า ,ผลการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าที่สม่ำเสมอ,ขยายการดำเนินงานไปสู่ธุรกิจนอกเหนือจากการผลิตไฟฟ้า อย่าง พัฒนาธุรกิจไบโอดีเซลเพื่อให้มีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายมากขึ้น รวมทั้งธุรกิจพัฒนานิคมอุตสาหกรรมในจังหวัดฉะเชิงเทราเป็นต้น
ประเมินทิศทางธุรกิจ EA
บล. หยวนต้า วิเคราะห์ทิศทางธุรกิจของ EA ว่า กำไรสุทธิในไตรมาส1/63 ลดลง 17% จากไตรมาสก่อนหน้า แต่เติบโต 19.9% จากช่วงเดียวกันปีก่อน อย่างไรก็ตาม บริษัทมีการบันทึกกำไรจากอัตราเปลี่ยน (36 ล้านบาท), กำไรจากการวัดมูลค่าเครื่องมือทางการเงิน (29 ล้านบาท) และรายได้อื่นๆที่ไม่ได้มาจากการดำเนินงาน (29 ล้านบาท) รวมกันราว 89 ล้านบาท ทำให้กำไรปกติในไตรมาสนี้อยู่ที่ 1.63 พันล้านบาท ต่ำกว่าคาดเล็กน้อยที่ 4.1% และคิดสัดส่วนเป็น 20.9% ของประมาณการกำไรปกติทั้งปี
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มกำไรปกติในไตรมาส2/63 คาดชะลอลงจากไตรมาสแรก แต่เติบโตจากช่วงเดียวกันในปีก่อน เนื่องจากเป็นช่วง High season ของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งมีสัดส่วนกำลังผลิตคิดเป็น 42% (278MW) ของกำลังการผลิตทั้งหมด และการเริ่มรับรู้รายได้จากหน่วยธุรกิจที่มีมาร์จิ้นสูงอย่าง Bio – PCM ตั้งแต่ไตรมาส2/63 เป็นต้นไป แต่บริษัท ยังมีความเสี่ยงจากมาตรการ Lockdown เพื่อป้องกันการระบาดของ COVID – 19 ทำให้ Demand ของหน่วยธุรกิจ B100 ลดลง
ทำให้ยังคงประมาณการกำไรปกติปี 2563 ที่ 6.52 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.4% จากการ รับรู้รายได้โรงไฟฟ้าพลังงานลม โครงการหนุมาน ขนาด 260 MW เต็มปี ทำให้มีกำลังการผลิตในปีนี้ทั้งหมด 664 MW รวมถึงหน่วยธุรกิจ Bio -PCM ซึ่งมีมาร์จิ้นสูง ขนาดกำลังการผลิต 65 ตันต่อวัน เริ่มทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาส2ปีนี้ แม้หน่วยธุรกิจ EV Car เลื่อนการส่งมอบจากผลกระทบของCovid-19 แต่โดยรวมไม่กระทบประมาณการกำไรปกติ เนื่องจากยังไม่รวมหน่วยธุรกิจ EV Car ไว้ในประมาณการ และหน่วยธุรกิจแบตเตอรี่ ขนาด 1 GWh ซึ่งปัจจุบัน อยู่ระหว่างการติดตั้งเครื่องจักรและคาดจะเริ่มรับรู้รายได้ในไตรมาส4/63
ดังนั้นยังคงคำแนะนำ “TRADING” ที่ราคาเป้าหมายปี 2563 ที่ 43.00 บาทต่อหุ้น เนื่องจากมี Upside gain เหลือเพียง 10.3% และมีความเสี่ยงจากโรคระบาด COVID – 19 ที่ส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้น้ำมัน B100, การขนส่งสินค้า Bio – PCM และการเลื่อนจัดงาน Thailand Motor Expo 2020