อานิสงส์จากโรงไฟฟ้าชีวมวลปัตตานี กรีน เพาเวอร์ (PTG) โครงการของ TPCH ขายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) เมื่อวันที่ 19 พ.ค. 2563 ที่ผ่านมา ส่งผล TPOLY เตรียมรับทรัพย์ไปด้วย บิ๊กบอส “ปฐมพล สาวทรัพย์” ลั่นพร้อมเดินหน้าประมูลงานใหม่ทั้งภาครัฐและเอกชน เน้นโครงการที่ทำกำไร มั่นใจผลงานปี 63 ยอดขายโตทะลุเป้า
นายปฐมพล สาวทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยโพลีคอนส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TPOLY เปิดเผยว่า แนวโน้มการดำเนินธุรกิจในครึ่งปีหลังยังมีแนวโน้มที่ดี คาดว่าจะสามารถทยอยรับรู้รายได้จาก Backlog เดิมกว่า 2,000 พันล้านบาท ขณะที่โครงการใหม่ตั้งเป้าไม่ต่ำกว่า 3,000 ล้านบาท และจะทยอยรับรู้รายได้ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 63 เป็นต้นไป ซึ่งบริษัทฯ ยังเดินหน้าประมูลงานใหม่ทั้งภาครัฐและเอกชน และอยู่ระหว่างการประมูลงานมูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท คาดว่าจะเห็นความชัดเจนในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2563 ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้บริษัทฯ มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและมั่นคง
“บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าเข้าประมูลงานใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยเน้นการรับงานที่เรามีความเชี่ยวชาญ แต่ต้องยอมรับว่าตลาดรับเหมาก่อสร้างมีการแข่งขันที่รุนแรงมาก ยิ่งมีสถานการณ์ COVID-19 จะยิ่งกระทบต่ออัตรากำไรของอุตสาหกรรมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ด้านธุรกิจโรงไฟฟ้าเตรียมจำหน่ายไฟฟ้าเข้าระบบ (Commercial Operation Date : COD) อีก 4 แห่ง โดยข่าวดีล่าสุด โรงไฟฟ้าปัตตานี กรีน เพาเวอร์ เริ่ม COD เมื่อวันที่ 19 พ.ค. 2563 ที่ผ่านมา ส่งผลให้บริษัทฯ มีรายได้เพิ่มขึ้น ขณะที่โรงไฟฟ้าอีก 3 แห่งจะทยอย COD ได้เกือบทั้งหมดภายในไตรมาส 2/2563 ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้ผลประกอบการเติบโตตามเป้าที่วางไว้”
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TPOLY กล่าวอีกว่า แม้ในช่วงที่ผ่านมาจะเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างในอุตสาหกรรมรับเหมาก่อสร้างก็ตาม แต่ในส่วนของโครงการก่อสร้างของบริษัทฯ จำนวน 21 โครงการทั่วประเทศ ปัจจุบันยังไม่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 โดยทุกโครงการยังคงก่อสร้างได้ตามปกติ ซึ่งบริษัทฯ มีมาตรการและระเบียบปฏิบัติที่เข้มงวดในการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสดังกล่าว
อนึ่ง ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ และบริษัทย่อยงวดไตรมาสแรกของปี 2563 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2563 มีรายได้รวม 942.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.2% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 777.5 ล้านบาท โดยมาจากธุรกิจรับเหมาก่อสร้างจำนวน 539.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 178.7 ล้านบาท หรือ 49.5% นอกจากนั้น บริษัทฯ มีรายได้จากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ รายได้จากธุรกิจโรงไฟฟ้า และรายได้จากการขายสินค้าและบริการ โดยสัดส่วนรายได้รวมของบริษัทฯ มาจากธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง 57.3% ธุรกิจโรงไฟฟ้า 41.7% ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ 1.0% รายได้จากการขายสินค้าและบริการ 0.02% โดยมีรายได้อื่นๆ 0.7% แม้ว่างบเฉพาะกิจการรับเหมาก่อสร้างจะมีผลขาดทุนในไตรมาส 1/2563 ซึ่งปัจจัยหลักมาจากการรับรู้รายได้ก่อสร้างโรงไฟฟ้าที่น้อยกว่าที่คาดการณ์ แต่คาดว่าผลการดำเนินงานทั้งปีจะมีผลกำไรที่สูงกว่าเกณฑ์เฉลี่ยของอุตสาหกรรม