เปิดกำไร 10 บจ. กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ แจ้งงบไตรมาสแรกปีนี้ มีกำไรสุทธิรวม 5,501 ล้านบาท ลดลง 38% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 8,985 ล้านบาท SIRI SPALI และ PSH นำทีมกำไรลดมากสุด ท่ามกลางโควิดระบาด-เศรษฐกิจถดถอย กำลังซื้อลด โบรกเกอร์ คาดผลงานไตรมาส 2 ทั้งรายได้ และกำไรสุทธิยังลดลงต่อเนื่อง เหตุรัฐบาลสั่งล็อกดาวน์ประเทศ กิจการ แต่จะดีขึ้นครึ่งปีหลังเป็นต้นไป
ผู้สื่อข่าวรายงานผลประกอบการไตรมาส 1/63 ของ 10 บริษัทจดทะเบียนในกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัย ประกอบด้วย บมจ. อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ (ANAN) บมจ.เอพี (ไทยแลนด์)(AP) บมจ. แลนด์แอนด์เฮาส์ (LH ) บมจ. แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ (LPN) บมจ. ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (ORI) บมจ. พฤกษา โฮลดิ้ง (PSH) บมจ. สิงห์ เอสเตท (PSH) บมจ. แสนสิริ (SIRI) บมจ. ศุภาลัย (SPALI) และ บมจ. ควอลิตี้เฮ้าส์ (QH)
ปรากฎว่ามีกำไรสุทธิรวมกันทั้งสิ้น 5,501 ล้านบาท ลดลง 38% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 8,985 ล้านบาท โดยพบว่ามีบริษัทที่กำไรสุทธิลดลง 9 บริษัท และมี 1 บริษัทที่มีกำไรสุทธิเติบโต 14% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
โดยบริษัทที่มีกำไรสุทธิงวดไตรมาส 1/63 สูงสุดในกลุ่ม 3 อันดับแรก ได้แก่ 1. บริษัท แลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH ซึ่งมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,343 ล้านบาท ลดลง 26% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรุสทธิ 1,825 ล้านบาท เนื่องจากมีผลขาดทนุจากอัตราแลกเปลี่ยน (ตราสารอนุพันธ์) จำนวน 188.84 ล้านบาท จากค่าเงินบาทที่ลดลง และการเปลี่ยนแปลงวิธีการบันทึกบัญชีตราสารอนุพันธ์ และมีรายได้จากการขายเท่ากับ 5,048 ล้านบาท ลดลง 649.96 ล้านบาท คิดเป็นลดลง11.41%
2.บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ PSH มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 922 ล้านบาท ลดลง 45% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1,686 ล้านบาท เนื่องจากมียอดขายจำนวน 6,069 ล้านบาท ลดลง 45% จากปีก่อนที่มีรายได้ 11,091 ล้านบาท โดยยอดขายลดลงจากกลุ่มผลิตภัณฑ์ทาวน์เฮ้าส์, บ้านเดี่ยว และอาคารชุด 2,566 ล้านบาท 605 ล้านบาท และ 1,851 ล้านบาท ตามลำดับ เนื่องมาจากจำนวนโครงการที่เปิดลดลง จากสภาวะเศรษฐกิจของประเทศ และทั้งโลกชะลอตัว ซึ่งเกิดจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) เป็นหลัก และ มาตรการ LTV ใหม่ที่มีผลบังคับใช้วันที่ 1 เม.ย. 2562
3.บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ SPALI โดยมีกำไรสุทธิ 749 ล้านบาท ลดลง 51% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากมีรายได้จากการโอนกรรมสิทธิอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 3,620 ล้านบาท ลดลง 42% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้ จำนวน 6,252 ล้านบาท อีกทั้งยังคงได้รับผลกระทบจากมาตรการกำหนดเพดานอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (LTV ratio) ซึ่งมีผลบังคงใช้เมื่อ 1 เม.ย.62
SIRI กำไรลดลงมากสุด 85% แต่ S กำไรโตสวนทาง 14%
ส่วนบริษัทที่มีกำไรสุทธิปรับตัวลดลงเยอะที่สุดในไตรมาส 1/63 ได้แก่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI โดยมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 62 ล้านบาท ลดลง 85% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 405 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลจาก การลดลงของอัตรากำไรขั้นต้นจากการขายโครงการ รวมถึงการขาดทุนจากธุรกิจการบริหารโรงแรมซึ่งได้รับผลกระทบอย่างมากจากการแพร่ระบาดของไวรัส โควิด-19 ประกอบกับการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายในการบริหาร
อย่างไรก็ตาม บริษัทที่มีกำไรสุทธิเติบโตเพียงจำนวน 1 บริษัท ได้แก่ บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ S โดยมีกำไรสุทธิ จำนวน 335 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 293 ล้านบาท ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการรับรู้รายได้ของการบันทึกกำไรการขายเงินลงทุนในบริษัทย่อย SHR วงเงินประมาณ 423 ล้านบาท ประกอบกับกำไรจากมูลค่ายุติธรรมของอนุพันธ์แฝงจากหุ้นกู้แปลงสภาพ 115 ล้านบาท
โบรกฯ ชี้แนวโน้มไตรมาส 2 รายได้ กำไรยังทรุดต่อเนื่อง
นายสรพงษ์ จักรธีรังกูร ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) คาดว่า ผลการดำเนินงานของกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ในงวดไตรมาส 2/63 ทั้งรายได้ และกำไรสุทธิจะปรับตัวลดลงต่อเนื่องจากไตรมาส 1/63 เพราะรัฐบาลมีมาตรการสั่งปิดเมือง และปิดห้างสรรพสินค้า ตลอดในช่วงระยะเวลาเดือนเม.ย. ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทอสังหาฯที่มีธุรกิจโรงแรม หรือห้างสรรพสินค้าก็จะได้รับผลกระทบในส่วนนี้
อย่างไรก็ตาม มองว่าในช่วงครึ่งหลังของปี 63 สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิดจะเริ่มดีขึ้น และในช่วงไตรมาส 4/63 จะเป็นช่วงที่ดีที่สุดของปี เนื่องจากผู้ประกอบการจะทยอยเปิดโครงการแนวราบในโลเคชั่นใหม่ หรือใกล้ๆ กับโลเคชั่นเดิมที่มีโครงการขายปิดตัวแล้ว ซึ่งจะช่วยดึงดูดความสนใจให้กับผู้ซื้อได้ ประกอบกับในครึ่งหลังโครงการประเภทคอนโดมิเนียมจะทยอยก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมอยู่ โดยถือเป็นจุดที่จะกระตุ้นกำลังซื้อได้มาก
ทั้งนี้ กลยุทธ์การลงทุนในหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ มีหุ้นที่ยังน่าสนใจหรือหุ้น Top Pick ได้แก่ LH โดยประเมินราคาเป้าหมายไว้ที่ 8.50 บาท, AP ราคาเป้าหมาย 5.60บาท และ SPALI ราคาเป้าหมาย 16.70 บาท
หุ้น กำไร Q1/63 (ลบ.) กำไร Q1/62 (ลบ.) เปลี่ยนแปลง
ANAN 150 232 -35%AP 618 1,078 -42%LH 1,343 1,825 -26%LPN 216 349 -38%ORI 595 720 -17%PSH 922 1,686 -45%S 335 293 +14%SIRI 62 405 -85%SPALI 749 1,527 -51%QH 511 870 -41%
รวม 5,501 8,985 -38%