xs
xsm
sm
md
lg

ออริจิ้นวางยุทธศาสตร์รับมือปัจจัยเสี่ยง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


พีระพงศ์ จรูญเอก
"ออริจิ้น" วางยุทธศาสตร์รับมือปัจจัยเสี่ยง ชะลอลงทุนปี 63 เปิดแค่ 14 โครงการใหม่ มูลค่า 20,000 ล้านบาท ตั้งเป้ายอดขาย 21,500 ล้านบาท รายได้ 16,000 ล้านบาท พร้อมเปิดรับพันธมิตรร่วมพัฒนาโครงการ แตก 6 กลุ่มบริษัทตามประเภทธุรกิจรองรับการเติบโต

นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทก้าวเข้าสู่ทศวรรษที่ 2 จึงได้วางวิสัยทัศน์ระยะยาวในการปรับเปลี่ยนบริษัทให้กลายเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ที่สามารถเติบโตไปได้อย่างยั่งยืน พร้อมรับมือทุกสภาวะความเปลี่ยนแปลงของโลก เริ่มต้นจากปี 2563 ที่จะเป็นทศวรรษแห่งการปฏิรูป (The Decade of Transformation) ปฏิรูปองค์กรสู่ลักษณะกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ ปรับเปลี่ยนออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ โดยแตกบริษัทย่อยออกมา 6 กลุ่มบริษัท เพื่อดำเนินธุรกิจใน 6 ประเภทธุรกิจ ประกอบด้วย

1.บริษัท ออริจิ้น คอนโดมิเนียม จำกัด ดำเนินธุรกิจพัฒนาคอนโดมิเนียมกลุ่มสมาร์ทคอนโดฯ มีแบรนด์หลักคือ ดิ ออริจิ้น 2.บริษัท พาร์ค ลักชัวรี่ จำกัด ดำเนินธุรกิจพัฒนาคอนโดฯ ระดับลักชัวรี มีแบรนด์หลักคือ ไนท์บริดจ์ และพาร์ค ออริจิ้น 3.บริษัท บริทาเนีย จำกัด ดำเนินธุรกิจพัฒนาบ้านจัดสรร มีแบรนด์หลักคือ บริทาเนีย 4.บริษัท ออริจิ้น อีอีซี จำกัด ดำเนินธุรกิจพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในแถบเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) 5.บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด ดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่สร้างรายได้ต่อเนื่อง (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม พื้นที่ค้าปลีก สำนักงานให้เช่า โครงการมิกซ์ยูส และ 6.บริษัท พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น จำกัด ดำเนินธุรกิจบริการด้านอสังหาริมทรัพย์สมัยใหม่ครบวงจร

“การปฏิรูปองค์กร หรือ Organization Transform จะทำให้บริษัทมีพอร์ตธุรกิจที่หลากหลายมากขึ้น ช่วยกระจายความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ ขณะเดียวกัน ทุกบริษัทย่อยก็จะมีอิสระในการดำเนินงานมากขึ้น มีขั้นตอนในการดำเนินธุรกิจลดลง สามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็วและรอบทิศทางมากขึ้น รวมถึงสามารถปรับตัวและรับมือปัจจัยภายนอกได้เหมาะสมกับแต่ละประเภทธุรกิจมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะเป็นก้าวสำคัญสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน” นายพีระพงศ์ กล่าว

ทีมผู้บริหารทั้ง 6 บริษัท
นายพีระพงศ์ กล่าวอีกว่า นอกจากการปฏิรูปโครงสร้างองค์กรแล้ว บริษัทได้วางอีกหนึ่งกลยุทธ์ในการสร้างการเติบโต คือ กลยุทธ์ “Open for Growth, Open Platform” เปิดรับพันธมิตรในหลากหลายรูปแบบมาร่วมเป็นคู่คิด เติมเต็มโนว์ฮาว เพิ่มขีดความสามารถซึ่งกันและกันในการสร้างสรรค์นวัตกรรมในที่อยู่อาศัย พื้นที่เชิงพาณิชย์ และบริการที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์ เชื่อมโยงและสร้างความแข็งแกร่งระหว่างหลากหลายประเภทธุรกิจ จนเกิดเป็นระบบนิเวศธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Ecosystem) ซึ่งตัวอย่างกลุ่มที่บริษัทเปิดรับมาร่วมเป็นพันธมิตร เช่น กลุ่มพันธมิตรร่วมทุน (JV Partner) กลุ่มเจ้าของที่ดิน (Land Owner) กลุ่มผู้พัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการบริการและอสังหาริมทรัพย์ (Service & Property Related Tech) กลุ่มซัปพลายเออร์ทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์

โดยในปีนี้บริษัทได้ร่วมกับพันธมิตรใหม่ GS E&C (GS Engineering and Construction Corporation) ของเกาหลีใต้ เพื่อพัฒนาคอนโดฯ 2 โครงการคาดว่าจะเริ่มเปิดตัวได้ในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้

นายพีระพงศ์ กล่าวอีกว่า ช่วง 5 ปีแรกของทศวรรษที่ 2 ของออริจิ้น จะเป็นช่วงผลักดันให้ทุกบริษัทในเครือสามารถเติบโตไปจนถึงระดับท็อปของประเภทธุรกิจนั้นๆ โดยมีแผนดำเนินธุรกิจใหม่ๆ หลากหลายเรื่อง เช่น การพัฒนาแบรนด์บ้านจัดสรรระดับลักชัวรี เบลกราเวีย (Belgravia) ขึ้นในปี 2563 เพื่อเจาะตลาดผู้ต้องการบ้านหรูระดับ 10-35 ล้านบาท รวมถึงการกระจายการพัฒนาโครงการไปยังจังหวัดเศรษฐกิจสำคัญ เช่น นครปฐม สมุทรสงคราม สมุทรสาคร ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง หลังจากสามารถทำให้ทุกบริษัทในเครือก้าวขึ้นสู่ระดับท็อปแล้ว บริษัทอาจพิจารณาการลงทุนในกลุ่มประเภทธุรกิจใหม่ๆ ที่ไม่ใช่ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์ (Beyond Property) ต่อไป

สำหรับแผนธุรกิจในปี 2563 บริษัทจะให้ความสำคัญต่อการปรับโครงสร้างภายในองค์กร สร้างรากฐานการเติบโตของทุกประเภทธุรกิจอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งปรับแผนให้สอดคล้องต่อสถานการณ์ปัจจัยภายนอก จึงจะเปิดตัวโครงการใหม่ในกลุ่มที่อยู่อาศัย 14 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 20,000 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการสมาร์ทคอนโดมิเนียม แบรนด์ดิ ออริจิ้น 2 โครงการ มูลค่ารวม 4,200 ล้านบาท โครงการลักชัวรีคอนโดมิเนียม 1 โครงการ มูลค่ารวม 2,300 ล้านบาท โครงการบ้านจัดสรร 10 โครงการ มูลค่ารวม 12,100 ล้านบาท ทั้งแบรนด์บริทาเนีย และแบรนด์ใหม่ 3 แบรนด์ ได้แก่ แกรนด์บริทาเนีย ไบรตัน และเบลกราเวีย โครงการกลุ่มอีอีซี 1 โครงการ มูลค่ารวม 1,400 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์เดอะ แฮมป์ตัน (The Hampton) ในศรีราชา อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์โควิด-19 ดีขึ้นบริษัทสามารถเพิ่มการลงทุนได้ทันที

ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าปี 63 มียอดขาย 21,500 ล้านบาท ยอดโอน 14,000 ล้านบาทและสร้างรายได้รวมได้ 16,000 ล้านบาท โดยมาจากทั้งธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย ธุรกิจบริการ และธุรกิจที่สร้างรายได้ต่อเนื่อง ซึ่งจะเริ่มรับรู้รายได้ในปีนี้เป็นปีแรก โดยวางงบลงทุนไว้ที่ 15,000 ล้านบาท แบ่งเป็นงบซื้อที่ดินและเช่า จำนวน 7,000 ล้านบาท ส่วนอีก 8,000 ล้านบาท เป็นเงินลงทุนก่อสร้าง


กำลังโหลดความคิดเห็น