การขยายตัวและเติบโตของการใช้บริการทางด้านเทคโนโลยี ได้ส่งผลให้ธุรกิจต่างๆ สามารถเข้าถึงกลุ่มกำลังซื้อได้โดยตรง ปัจจุบัน รูปแบบของนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปทั่วโลก จะสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลด้านการท่องเที่ยว สถานที่ท่องเที่ยว ที่พัก หรือแม้แต่ร้านค้าต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วกว่าในอดีต และด้วยกระแสของการท่องเที่ยวแบบอิงกับวิถีชุมชนที่กำลังเติบโต ได้เปิดโอกาสให้ธุรกิจ โฮมสเตย์ ได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้น ซึ่งประเทศไทย โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เร่งผลักดันให้ชุมชนในแต่ละจังหวัดมีโอกาสในการให้บริการเกี่ยวกับที่พักแก่นักท่องเที่ยว และใช้ความเป็นชุมชนในการต่อยอดเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งใหัแก่การท่องเที่ยวระดับชุมชนให้มากยิ่งขึ้น
นางสุรีพรรณ ทองมณี เจ้าของ Dab Home Stray กล่าวถึงจุดเริ่มต้นของการเข้าสู่บริการแบบโฮมสเตย์ ว่า ตนเป็นคนเชียงใหม่ ที่เป็นข้าราชการเกษียณมาจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เริ่มแรกที่ทำจะเป็นการเปิดรับแลกเปลี่ยนเด็กนักเรียนนานาชาติ ระดับไฮสกูล หลังๆ ก็จะเป็นนักศึกษาระดับมหาวิทยาลัย ซึ่งจุดเริ่มต้นของการให้บริการในรูปแบบโฮมสเตย์นั้น แรกเริ่มมีนักท่องเที่ยวที่เป็นอาสาสมัครมาพักผ่อนในจังหวัดเชียงใหม่ แต่จำที่พักไม่ได้ ประกอบกับช่วงนั้นมืดค่ำ ทางสามีซึ่งให้บริการรถสามล้อที่รับนักท่องเที่ยวคนดังกล่าว ก็ให้มาพักที่บ้านของตนเอง โดยให้อยู่ฟรี ไม่ได้คิดค่าใช้จ่าย ให้ทานข้าว ซึ่งนักท่องเที่ยวก็แปลกใจว่า ไม่เคยเจอแบบนี้มาก่อน เกิดความประทับใจในความมีน้ำใจที่มอบให้ โดยนักท่องเที่ยวได้มอบค่าใช้จ่ายให้ จำนวน 600 บาท และจากจุดนั้น ทำให้เกิดแรงบันดาลใจว่า ชาวต่างชาติสามารถมาอยู่กับเราได้
นอกจากนี้ ทางอำเภอได้มีการจัดไปดูงานท่องเที่ยวชุมชนที่จังหวัดเลย เห็นตัวอย่าง เราก็นำรูปแบบมาทำที่บ้านของตนเองดู ซึ่งก็ใช้ได้ พอดีน้องชาย แนะนำให้ไปเข้าร่วมกับทาง Airbnb ก็ทำให้โฮมสเตย์ที่เราเปิดให้บริการติดตลาด ซึ่งเราทำมาตั้งแต่ปลายปี 2558 ก็เป็นเวลากว่า 3 ปี ค่าบริการเราถูกมาก ก็พอเป็นรายได้เสริมให้แก่ทางครอบครัว ซึ่งเราก็พออยู่ได้ ห้องที่เราเปิดให้บริการมี 4 ห้อง แบ่งเป็น 2 ห้องแรกสำหรับลูกค้ารายวัน ห้องสำหรับลูกค้ารายเดือน และอีกห้องจะเตรียมไว้สำหรับเด็กแลกเปลี่ยน และถือว่าค่าบริการที่ Airbnb หักค่าใช้จ่ายไป ถือว่าถูกมากประมาณ 3% เมื่อเทียบกับรายอื่นๆ ที่มีการหักค่าใช้จ่ายถึง 17% เป็นต้น
"ถ้าทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เข้ามาส่งเสริม และส่งเสริมคนในหมู่บ้าน ซึ่งตนได้มีการรวบรวมได้ 7 ครอบครัว ในการผลักดันให้เกิดการท่องเที่ยวชุมชนอย่างจริงจัง และมีลูกค้าที่มาจาก Airbab มาพักกับเรา รวมแล้วตั้งแต่เปิดบริการมาน่าจะไม่ต่ำกว่า 100 ราย ส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติจากหลายประเทศ โดยเฉพาะชาวจีนจะติดต่อเข้ามาใช้บริการค่อนข้างมาก เนื่องจากของเราอยู่ใกล้สนามบิน ซึ่งบางรายจะพัก 1-2 วัน แต่บางรายพักอยู่ประมาณ 20-28 วัน ซึ่งนักท่องเที่ยวที่มาพักจะชื่นชอบในเรื่องการทำอาหาร บางรายไปหยิบมะม่วงทำ เป็นอะไรที่ธรรมชาติ ไม่ได้ปรุงแต่งอะไร เราจะมีโปรแกรมให้นักท่องเที่ยวร่วมกิจกรรมต่างๆ วันเดย์ทริปไปปาย หรือไปฟาร์มช้าง หรือจะเช่ารถที่เรามีก็ได้เช่นกัน"
ในเรื่องของการต่อยอดการท่องเที่ยวชุมชนนั้น หลังจากได้ดำเนินการมาแล้ว ทางเทศบาล ก็อยากให้เราร่วมกันส่งเสริมให้แต่ละหมู่บ้านมีโอกาสในการรองรับนักท่องเที่ยว ซึ่งตนคิดว่า หากรวบรวมบ้านละ 1 ห้อง ก็คงเป็นเรื่องที่ดี สิ่งสำคัญ เราต้องทำความเข้าใจกับชุมชนและคนในหมู่บ้าน และพาชาวบ้านไปดูงานท่องเที่ยวชุมชนในต่างจังหวัด เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่มากขึ้น และอาจจะไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นชาวต่างชาติที่จะเข้ามาพัก คนไทยก็สามารถสร้างรายได้ให้แก่เราได้ เพียงแต่ต้องเข้าใจว่า ไม่ใช่อาชีพหลักแต่เป็นอาชีพเสริม ห้องที่เราว่างอยู่ ก็เพียงแต่เราทำให้สะอาด ก็สามารถหาคนมาพักได้
สำหรับรูปแบบของโฮมสเตย์ มีกฎข้อบังคับเยอะมาก เป็นกลุ่มเป็นก้อน ทำเป็นวิสาหกิจชุมชน ห้องพักต้องอยู่ภายในชายคาบ้านเดียวกัน จะมีความใกล้ชิดกับเจ้าของบ้าน
ส่วนโฮมลอดจ์ เรามีแผนที่จะเปิดให้บริการอยู่ ซึ่งกฎระเบียบจะยืดหยุ่น มีไม่มากเหมือนโฮมสเตย์ อันนี้อาจจะเป็นที่พัก หรือเป็นทางผ่านให้แก่นักท่องเที่ยว ราคาไม่แน่นอน (คล้ายๆ บังกะโลสมัยก่อน) โดยจะมีการขึ้นทะเบียน จำนวนไม่เกิน 4 ห้อง ผู้เข้ามาพักไม่เกิน 20 คน และต้องไม่อยู่ภายในชายคาบ้านเดียวกัน และมีแนวโน้มที่โฮมลอดจ์จะเติบโตเร็วกว่า แต่ความสัมพันธ์คงไม่ใกล้ชิดเหมือนโฮมสเตย์
"ลูกค้าที่มาพักกับเรา ครั้งต่อไปก็จะตรงหาเรา ซึ่งโอเค อาจจะไม่ต้องเสีย 3 เปอร์เซ็นต์ แต่จริงๆ แล้ว เราอยากให้ลูกค้าผ่านทาง Airbnb เนื่องจากมีกฎว่า ผู้มาใช้บริการจะต้องเขียนรีวิวที่พักนำเสนอในเพจของ Airbnb ด้วย แต่เราก็สามารถเลือกลูกค้าได้ ลูกค้าที่เลือกมาพักกับเรา เห็นจากรีวิวที่มีการนำเสนอ ประกอบกับราคาที่พักจะถูกกว่าโรงแรม มีความเป็นกันเอง และเคยมีคนจากประเทศเวียดนามเคยมาศึกษาการทำโฮมสเตย์จากเรา เห็นเราเก็บผักมาทำส้มตำ ก็ได้ไอเดียที่จะนำไปประยุกต์ใช้กับโฮมสเตย์ในเวียดนาม ซึ่งทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศได้จับมือกับกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น วางเป้าหมายให้โฮมสเตย์ที่เราทำอยู่ในชุมชนนี้ เป็น 1 ใน 5 โฮมสเตย์ที่จะต้องเกิดขึ้นให้ได้ภายในปี 2563"
แนะทำการตลาดเชิงรุก
นายวิม อินต๊ะแก้ว เจ้าของเฮือนแก้ว โฮมฮัก กล่าวว่า ตนเป็นข้าราชการเกษียณ ที่แรกเริ่มมาเปิดห้องเช่า ซึ่งเป็นรายได้เพิ่มเติมจากข้าราชการเกษียณที่มีน้อยนิด และทำอย่างไรให้ที่ดินของเรามีประโยชน์มากที่สุด โดยช่วงแรกเมื่อปี 2560 ทำ 3 หลัง และปรับปรุงโรงรถเก่าเพิ่มเป็น 2 ห้อง ซึ่งเราเห็นด้วยกับทางชุมชน เนื่องจากเราเปิดรับนักท่องเที่ยวรายวัน โดยที่เราตั้งรับอย่างเดียว ไม่มีเชิงรุกเลย และหากเราสามารถเชื่อมโยงกับชุมชนอื่นๆ ได้จะเป็นสิ่งที่ดี และเราหวังว่าจะได้รับสิทธิพิเศษในเรื่องของภาษี และหากเราเข้าหลักการก็พร้อมไปจดทะเบียนให้เรียบร้อย
"เราก็ยังสองจิตสองใจ เพราะเราเคยอยู่เงียบๆ มาก่อน ใครจะมาร่วมกับเรา ตรงนี้ชีวิตเราก็เปลี่ยน ของเราที่มาพักจะเป็นคนไทยมากกว่า ต่างชาติก็มี ทั้งจากฝรั่งเศส ญี่ปุ่น ซึ่งมีชาวญี่ปุ่นเช่าหน้าร้านเพื่อเปิดร้านอาหาร ลูกค้าจะมาโดยตรงเป็นส่วนมาก หรือจะเป็นเพื่อนฝูงมาพักแทน แต่ราคาที่เรานำเสนอจะถูกกว่าโรงแรมมาก ซึ่งเราเสนอให้การท่องเที่ยว ควรต้องดูเรื่องนี้โดยตรง ทำอย่างไร ให้ได้ข้อมูล หรือเปิดตัวผู้ที่ทำรูปแบบเดียวกับผมที่อยู่ทั่วประเทศ มีมากน้อยเพียงใด รัฐหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะมีการจูงใจเรื่องอะไร เช่น ภาษี หรือสนับสนุนในเรื่องของการตลาด หรือเรื่องภาษีนั้น ท้องถิ่นไม่ควรเข้ามายุ่ง เนื่องจากตอนนี้ ท้องถิ่นมีคิดเรื่องของภาษีค่าเช่า 12 เปอร์เซ็นต์ต่อปี แต่ในรูปการท่องเที่ยวเพื่อชุมชนที่เข้มแข็งนั้น ตรงนี้ต้องส่งเสริมโดยรวม และจูงใจให้เกิดการเปิดตัวออกมา หรือดีเราก็อาจจะเดินหน้าต่อ หรือไม่ เราก็หยุด ไม่ทำเพิ่ม"
อย่างไรก็ตาม ในเรื่องของกฎระเบียบเกี่ยวกับโฮมลอดจ์นั้น ควรจะมีการปรับปรุงหรือทบทวนหรือเปล่า เพราะการไปกำหนด 4 ห้อง ไม่เกิน 20 คนนั้น อาจจะมีปัญหา อาจจะไปกำหนดไม่เกิน 50 คนก็ได้ ก็ทำให้ห้องที่จะให้บริการกว้างขึ้น หรืออาจจะกำหนดไม่เกิน 10 ห้องก็ได้ ซึ่งหากเราไปกำหนดแบบที่เป็นอยู่ ก็อาจจะทำให้คุณภาพชีวิตในการพักอาศัยมีปัญหาได้