กนง.และกระทรวงคลัง กำหนดกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อทั่วไปปี 63 ที่ 1-3% จากเดิม 2.5% บวกลบ 1.5 %เป็นเป้าหมายนโยบายการเงินด้านเสถียรภาพราคา
นายเมธี สุภาพงษ์ รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า คณะกรรมการนโยบายการเงินและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมีข้อตกลงร่วมกันปรับเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อทั่วไปใหม่ เริ่มใช้ 2563
โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปแบบช่วง 1-3% เปลี่ยนจากเป้าหมายเดิมที่ 2.5% บวกลบ 1.5 % ซึ่งใช้มาตั้งแต่ปี 2558 โดยมีรายละเอียดการปรับเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อใหม่
1.ปรับลดเป้าหมายเพื่อให้สอดคล้องต่อภาวะเศรษฐกิจการเงินที่เปลี่ยนแปลงไป และอัตราเงินเฟ้อไทยที่มีแนวโน้มต่ำลงจากปัจจัยโครงสร้าง เช่น (1) การเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีที่ทำให้ต้นทุนการผลิตถูกลงหรือปริมาณผลผลิตเพิ่มขึ้น (เช่น น้ำมัน สินค้าเกษตร และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น) (2) การขยายตัวของธุรกิจ e-commerce ที่ทำให้การแข่งขันสูงขึ้นจนผู้ขายปรับราคาสินค้าขึ้นยาก และ (3) การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ เนื่องจากผู้สูงอายุมีรายได้หลังเกษียณลดลง จำนวนผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นจึงทำให้การบริโภคสินค้าและบริการในภาพรวมมีแนวโน้มลดลงในระยะต่อไป
2.เปลี่ยนมาใช้เป้าหมายแบบช่วง (ไม่มีค่ากลาง) เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นให้นโยบายการเงินสามารถดูแลเสถียรภาพด้านราคา ควบคู่กับการเติบโตทางเศรษฐกิจและเสถียรภาพระบบการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจโลกและไทยผันผวนและมีความไม่แน่นอนสูง
สำหรับประเทศที่ธนาคารกลางได้ปรับเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อคือ เกาหลีใต้ นอร์เวย์ ได้ปรับเป้าหมายเงินเฟ้อลง เพื่อให้สอดคล้องต่อสภาพเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป และอัตราเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มต่ำลงจากปัจจัยโครงสร้าง
ปรับเกณฑ์การสื่อสารผ่านจดหมายเปิดผนึก (open letter) เมื่ออัตราเงินเฟ้อออกนอกกรอบเป้าหมาย เพื่อให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) สามารถแสดงความรับผิดชอบและสื่อสารกับสาธารณชนได้ทันการณ์ ไม่ต้องรอถึงสิ้นปีปฏิทิน รวมทั้งสอดคล้องต่อหลักการดำเนินนโยบายการเงินที่ต้องมองไปข้างหน้า (forward-looking)
เกณฑ์ใหม่ กนง. จะออกจดหมายเปิดผนึกถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ทุก 6 เดือน หากอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ย 12 เดือนที่ผ่านมา หรือประมาณการอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนข้างหน้าเคลื่อนไหวออกนอกกรอบเป้าหมาย แต่ถ้าไม่ออกนอกกรอบเป้าหมาย ไม่ต้องมีจดหมายเปิดผนึกถึงรัฐมนตรีฯ จากเกณฑ์เดิมจะมีจดหมายเปิดผนึกเมื่ออัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยทั้งปีปฏิทินออกนอกกรอบเป้าหมาย
การปรับลดเป้าหมายนโยบายการเงินในครั้งนี้ ไม่ได้เป็นการส่งสัญญาณว่าแนวทางการดำเนินนโยบายการเงินจะเปลี่ยนจากเดิม โดยภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน นโยบายการเงินมีแนวโน้มผ่อนคลายไปอีกระยะหนึ่งเพื่อเอื้อต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และช่วยให้อัตราเงินเฟ้อกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายต่อไป โดยการตัดสินนโยบายการเงินภายหลังการปรับเป้าหมายใหม่ยังคงยึดหลักการเดิม ได้แก่
1.ยึดหลัก data dependent พิจารณาข้อมูลอย่างรอบด้าน และพร้อมปรับนโยบายเมื่อสถานการณ์เศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อเปลี่ยนแปลงไปจากที่เคยประเมินไว้
2.รักษาสมดุลของการดูแลเป้าหมายนโยบายการเงินทั้ง 3 ด้านให้เหมาะสมในแต่ละช่วงเวลา ได้แก่ (1) การรักษาเสถียรภาพด้านราคาในระยะปานกลาง (2) การดูแลเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนและเต็มศักยภาพ และ (3) การรักษาเสถียรภาพของระบบการเงิน