"เข็มเหล็ก" ธุรกิจในกลุ่มของ "สุธีกรุ๊ป" ผู้นำเทคโนโลยีโลจิสติกส์ ในเอเชีย รุกหนักส่งนวัตกรรมฐานรากสำเร็จรูป เจาะตลาดอสังหาฯ ไทย หวังขอแชร์ตลาดงานฐานรากกว่า 1.5 แสนล้านบาท แย้มรายได้ปีนี้ไม่ต่ำกว่า 600 ล้านบาท ปัดฝุ่นเข้าตลาด mai ดึงเงินระดมทุนกว่า 200-300 ล้านบาท ขยายธุรกิจครอบคลุมทุกภาค เพิ่มตัวแทนขาย
นายประเสริฐ ธรรมมนุญกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เข็มเหล็ก จำกัด กล่าวว่า ในอนาคตเทคโนโลยีจะเข้ามาดิสรัปต์ธุรกิจก่อสร้างมากยิ่งขึ้น ทำให้อุตสาหกรรมก่อสร้างและงานฐานรากของไทยต้องเร่งพัฒนาศักยภาพและเพิ่มประสิทธิภาพให้แก่วงการอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะการสร้างอาคาร หรือ บ้าน ฐานรากถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด หากมีฐานรากที่ดี อาคารหรือบ้านก็จะมั่นคงแข็งแรง ซึ่งในระบบโครงสร้างฐานราก เสาเข็ม เป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของอาคารและบ้าน ซึ่งในปัจจุบันวิวัฒนาการความก้าวหน้าด้านฐานรากและเสาเข็ม ได้มีการนำเทคโนโลยีมาใช้เพิ่มความรวดเร็ว ทนทาน และปลอดภัยให้แก่ลักษณะของงานก่อสร้างต่างๆ มากขึ้น อย่างนวัตกรรม “เข็มเหล็ก” นวัตกรรมฐานรากที่จะมาปฏิวัติวงการวิศวกรรมฐานรากแบบดั้งเดิม และมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพวงการก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์ไทย
ซึ่งบริษัทได้พัฒนาและเปิดตัวธุรกิจ เข็มเหล็ก อย่างจริงจังเมื่อ 10 กว่าปีที่ผ่านมา และช่วงแรกๆ เรามีแนวคิดที่จะเข้าไปให้บริการกับงานบ้าน แต่ตลาดที่อยู่อาศัยไม่รับสินค้าของเรา และการจะเปลี่ยนแนวคิดเป็นเรื่องที่ยากมาก ดังนั้น จึงเอานวัตกรรมเข็มเหล็กไปใส่วงการพลังงานก่อน เริ่มจากการเข้าไปทำงานในด้านเสา ต่อม่อ และโครงสร้างให้แก่โซลาร์ของทางบางจาก แต่เนื่องจากในวงการธุรกิจพลังงานวงจรมีขึ้นและลงอย่างรวดเร็ว และงานทะลักมาเร็วมาก บริษัทฯ เคยรับงานฐานรากเข็มเหล็กถึง 6,000 ต้นต่อวัน ทำให้เราเห็นว่า เรื่องกระบวนการผลิตไม่ได้เป็นปัญหาในมุมของสุธีกรุ๊ป และเราสามารถทำฐานรากเข็มเหล็กโซลาร์ฟาร์มสูงสุดในโลกที่ 5.30 เมตร เพื่อหนีน้ำท่วม เนื่องจากไม่มีใครรับประกันเรื่องน้ำท่วม
สำหรับ “เข็มเหล็ก” คือ ฐานรากเสาเข็มสำเร็จรูป เป็นเทคโนโลยีใหม่ ผลิตในประเทศไทย ภายใต้การคิดค้นวิจัย ออกแบบ และพัฒนาจนได้รับสิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ และมีการจดทะเบียนอนุญาตให้บริษัท เข็มเหล็ก จำกัด ใช้สิทธิตามสิทธิบัตรดังกล่าวแต่เพียงผู้เดียว โดย “เข็มเหล็ก” ก็คือ ฐานรากที่ใช้หลักการเดียวกับฐานรากแผ่ คือ เมื่อเกิดการทรุดตัวของดินขึ้น ตัวโครงสร้างบนดินก็จะลงไปพร้อมกับดินรอบข้างตัวอาคาร จึงทำให้ไม่เกิดโพรงดังเช่นที่เกิดในเสาเข็มคอนกรีตเสริมเหล็กทั่วไป เนื่องจากเสาเข็มตอกหรือเจาะในปัจจุบัน นิยมตอกไปจนถึงชั้นดินดาน และแน่นอนว่า บ้านจะไม่เกิดการทรุดตัวเพื่อโครงสร้างตั้งอยู่ชั้นหินแข็ง แต่ดินรอบข้างจะยังคงสามารถทรุดตัวได้ ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้เกิดโพรงใต้บ้าน โดยหลักการทำงานของฐานรากเข็มเหล็ก จะใช้แรงยึดกับผิวหน้าดินในการทำให้อาคารแข็งแรง โดยใช้รูปทรงที่เป็นเกลียวเหมือนสกรูที่มีฟินในการเพิ่มการรับน้ำหนักได้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งยังทำให้ดินโดยรอบแน่นขึ้น เนื่องมาจากหลักการของสกรู และไม่ทำให้เกิดความเสียหายต่อหน้าดิน
ทั้งนี้ คุณสมบัติเรื่องของระยะเวลาก่อสร้างฐานรากแล้ว พบว่า หากเป็นเข็มเหล็กจะเร็วกว่าเข็มปูนประมาณ 5 เท่าของวงการเดิม ทำให้สามารถร่นเวลาก่อสร้างลงได้ถึง 30-40% ของฐานราก จากปกติการทำฐานรากแบบปกติจะใช้เวลาประมาณ 50% ต่องานโครงสร้าง
โดยจากการวิเคราะห์ของเรา จีดีพีของประเทศไทยประมาณ 15 ล้านล้านบาท เป็นส่วนของงานก่อสร้างทุกรูปแบบทั้งประเทศประมาณ 10% หรือคิดเป็นมูลค่า 1.5 ล้านล้านบาทของจีดีพี ส่วนงานฐานราก (Foundation) มีมูลค่า 10% ของงานก่อสร้างทั้งหมดหรือมีมูลค่าตลาด 1.5 แสนล้านบาทต่อปี ของมูลค่าการก่อสร้างของประเทศไทย ซึ่งอาจจะปรับเปลี่ยนตามภาวะเศรษฐกิจ ขณะที่รูปแบบการก่อสร้างใน Foundation ในวงการจะมีส่วนของ Heavy weight construction (ระดับฐานรากขนาด 1,000 ตัน) ประมาณ 30% และส่วนของ Light weight Construction (บ้าน 3-4 ชั้น ป้าย เสาไฟ ) ประมาณ 70% นั้นแปลว่า ตลาด Light weight จะมีมูลค่าประมาณ 100,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งในกลุ่มนี้จะมีทั้งเข็มปูน เข็มไม้ และเข็มเหล็ก ทำให้เราเห็นโอกาสในตลาดของบริษัทอยู่ประมาณ 30,000 ล้านบาท ขณะที่เข็มปูนมีแชร์ในตลาดก่อสร้างประมาณ 80-90%
"มูลค่าการก่อสร้างรวมของไทยมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งการขยายตัวของมูลค่าการก่อสร้าง ส่งผลบวกโดยตรงต่อผู้ประกอบการที่อยู่ใน Value Chain ของอุตสาหกรรมก่อสร้าง ไม่ว่าจะเป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง หรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับงานก่อสร่าง เช่น งานฐานราก ผู้ผลิตและจำหน่ายวัสดุก่อสร้าง เป็นต้น ซึ่งบริษัทฯ มองว่าตลาดฐานรากถือว่าเป็นตลาดที่ใหญ่และยังเติบโตได้อีกมาก และสิ่งที่ทำคือ การเป็นสตีล โซลูชัน ซึ่งเราจะรุกตลาดฐานรากเข็มเหล็กในด้านที่อยู่อาศัยให้มากขึ้น เราเห็นโอกาสที่จะเข้าไปแชร์ตลาดเสาเข็มปูน"
นอกจากกลุ่มธุรกิจฐานรากเข็มเหล็กแล้ว ยังมีกลุ่มธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์ (โซลาร์ฟาร์ม) ขนาด 1,500 เมกะวัตต์ และงานด้าน EPC (Engineering Procurement Construction) ซึ่งรวมแล้วในปีนี้บริษัทจะมีรายได้สูงถึง 600 กว่าล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 61 มีรายได้ 400-500 ล้านบาท เนื่องจากในปี 62 มีการรับรู้รายได้ในธุรกิจโซลาร์ฟาร์ม
"ในปี 2563 เราต้องการเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศในตลาด mai วางเป้าหมายระดมทุนราว 200-300 ล้านบาท เพื่อนำไปใช้ทั้งด้านการผลิตขยายการติดตั้งเครื่องจักรและมีศูนย์บริการให้ครอบคลุมในภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตะวันออก และตะวันตก รวมไม่ต่ำกว่า 7-8 แห่งในปีหน้า จากปัจจุบันมีที่กรุงเทพฯ และทางภาคเหนือ รวมถึงการเพิ่มจำนวนตัวแทนขาย (เซลส์) ของบริษัทให้ได้ 100 คน"
อนึ่ง บริษัท เข็มเหล็ก จำกัด ในกลุ่มของสุธีกรุ๊ป ผู้นำในด้านเทคโนโลยีโลจิสติกส์ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีธุรกิจในเครือ 7-8 บริษัท มีรายได้ต่อปีประมาณ 2,000 กว่าล้านบาท