xs
xsm
sm
md
lg

"แกรนด์ แอสเสท" หวั่นเศรษฐกิจชะลอยาว ขอทบทวนแผนลงทุนปี 63

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


วิทวัส วิภากุล
แกรนด์ แอสเสท ชี้อสังหาฯ ไทยเจอศึกหนัก เศรษฐกิจทรุด ลูกค้าต่างชาติหาย ค่าบาทแข็ง LTV ปี 63 ลงทุนมิกซ์ยูสที่ระยอง เล็งเปิดขายวิลล่าหรู คอนโดฯ ต้นปี ขณะที่โรงแรมเปิดให้บริการปลายปี 64 ขณะที่แผนลงทุนอื่นขอศึกษาแบบเจาะลึกก่อนลงทุน

นายวิทวัส วิภากุล กรรมการและกรรมการบริหาร บริษัท แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แอนด์ พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงที่ผ่านมาได้รับผลกระทบจากหลายปัจจัย ได้แก่ ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ตลาดลูกค้าต่างชาติได้รับผลกระทบ เช่น จีน ฮ่องกง รวมถึงนโยบายรักษาเสถียรภาพทางการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย ทั้งมาตรการ LTV เงินบาทแข็งค่า

ทั้งนี้ คาดว่าตลาดจะยังชะลอตัวต่อเนื่องไปจนถึงปี 63 ดังนั้น การวางแผนลงทุนจะต้องมีความละเอียดรอบคอบ ศึกษาการลงทุนแบบเจาะลึกเพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาด โดยขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาแผนการลงทุนปี 2563 ให้ละเอียดอีกครั้ง แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงเดินหน้าพัฒนาโครงการที่จังหวัดระยอง ซึ่งเป็นโครงการมิกซ์ยูส ประกอบด้วย โรงแรม คอนโดมิเนียม และวิลล่าหรู โดยจะเริ่มเตรียมเปิดตัวโครงการวิลล่าหรู หลังละกว่า 10 ล้านบาท มูลค่ารวมกว่า 4,000 ล้านบาท ในช่วงต้นปี 2563 หลังจากนั้น ในเดือนพฤษภาคมจะเปิดขายคอนโดมิเนียม ส่วนโครงการโรงแรมจะใช้เชน ไฮแอท ซึ่งคาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในช่วงปลายปี 2564

ที่ผ่านมา กลุ่มบริษัทได้ร่วมทุนกับกลุ่มธุรกิจ ซูมิโตโม ฟอเรสทรี จำกัด มูลค่าการลงทุน 20,000 ล้านบาทภายใน 4 ปี โดยล่าสุดได้เปิดตัวโครงการ“ไฮด์ เฮอริเทจ ทองหล่อ” โดยซูมิโตโมฯ ถือหุ้น 49% บริษัท แกรนด์ แอสเสท โฮเทลล์ แอนด์ พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) กลุ่มธุรกิจในเครือพร็อพเพอร์ตี้ เฟอร์เฟ็ค จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นฝ่ายไทยถือหุ้น 51% โดยมูลค่าโครงการ 6,000 ล้านบาท เนื้อที่ 2 ไร่ 2 งาน 18 ตารางวา (ตร.ว.) คอนโดมิเนียมความสูง 45 ชั้น ราคาเริ่มต้นที่ยูนิตละ 9.6 ล้านบาท หรือราคา 2.6 แสนต่อ ตร.ม.

สำหรับรูปแบบการพัฒนาการบริหารนั้นจะมุ่งเน้นการบริการแบบโฮเทล ไฮบริด โดยมุ่งเน้นการผนึกประสบการณ์การบริหารจัดการโรงแรมในเครือของกลุ่มธุรกิจที่มี 6 แห่ง กว่า 2,000 ห้อง เช่น เวสทิน แกรนด์ สุขุวิท, ไฮแอท รีเจนซี่ แบงค็อก สุขุมวิท, รอยัล ออคิด เชอราตัน เป็นต้น เพื่อเพิ่มการบริหารที่แตกต่าง เช่น การต้อนรับ 24 ชม. การสำรองร้านอาหาร สปา ร้านเสริมสวย และพื้นที่ประชุมภายใน ตลอดจนการบริการประสานงาน Limousine Service เป็นต้น

อะซึฮิสะ โอกูระ
ด้าน นายอะซึฮิสะ โอกูระ กรรมการ บริษัท ซูมิโตโม ฟอเรสทรี จำกัด ในกลุ่มซูมิโตโม กรุ๊ป ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ติด 5 อันดับแรกของประเทศญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และติด 10 อันดับแรกของอเมริกา เปิดเผยว่า บริษัทยังมีประสบการณ์ด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในไทยไม่เพียงพอ ทำให้เป็นที่มาของการร่วมทุนกับ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) และบริษัท แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แอนด์ พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์

แม้ไทยจะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว แต่ในระยะยาวยังเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยค่อนข้างมั่นคง ทั้งอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยที่ยังมีการเติบโต 3-4% ขณะที่กฎหมายของไทยมีความพร้อมสำหรับการลงทุน ทำให้บริษัทต่างชาติสามารถมาลงทุนได้อย่างไร้กังวล นอกจากนี้ พื้นฐานเศรษฐกิจไทยค่อนข้างมั่นคง ทำให้ไม่มีความกังวลว่าจะมีเหตุการณ์พลิกผันแต่อย่างใด โดยเฉพาะการลุงทนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บริษัทไม่ได้มองการลงทุนในระยะ 1-2 ปี แต่มองเป็นการลงทุนในระยะยาว

โดยล่าสุด มีโครงการไฮด์ เฮอริเทจ ทองหล่อ ภายใต้บริษัท แกรนด์สตาร์ จำกัด เป็นคอนโดมิเนียมสูง 45 ชั้น บนที่ดินกว่า 2 ไร่ ประกอบด้วย ห้องชุดพักอาศัยรวม 311 ยูนิต มูลค่าโครงการกว่า 6,000 ล้านบาท ราคาขายเริ่มต้น 9.6 ล้านบาท พร้อมกันนี้ ยังได้ว่าจ้างบริษัท เวเลอร์ ฮอสพิทอลลิตี้ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทบริหารโรงแรม และโครงการอสังหาริมทรัพย์ ตลอดจนเป็นผู้บริหารงานเช่าให้ผู้ลงทุน เข้ามาบริหารโครงการภายใต้มาตรฐานของ เวเลอร์ ฮอสพิทอลลิตี้ โดยที่ผ่านมา เวเลอร์ฯ มีการบริหารโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์มาแล้วมากกว่า 150 แห่ง หรือมากกว่า 60,000 ห้องทั่วโลก ทั้งในอังกฤษ สหรัฐอเมริกา ดูไบ และ เอเชียแปซิฟิก เช่น โรงแรมในเครือ ฮิลตัน แมริออท และอินเตอร์คอนทิเนนทัล

“ท่ามกลางอสังหาริมทรัพย์ไทยอยู่ในช่วงขาลง กลุ่มซูมิโตโมยังลงทุนต่อเนื่อง เพราะมีการวางแผนการทำธุรกิจในประเทศไทยในระยะยาว โดยมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบโครงการที่มุ่งเน้นคุณภาพ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้ากลุ่มไฮเอนด์ หรือลักชัวรี” นายอะซึฮิสะ กล่าว

อย่างไรก็ตาม กลุ่มลูกค้าต่างชาติยังมีโอกาสเติบโต ซึ่งกลุ่มซูมิโตโมมีสำนักงานตัวแทนขายกระจายในประเทศเหล่านี้ และยังมีการจัดอีเวนต์และโรดโชว์เข้าไปรุกทำการตลาดในจีน ไต้หวัน ญี่ปุ่น และฮ่องกง ถือว่าเป็นการใช้วิกฤตในฮ่องกงให้เป็นโอกาส ซึ่งมีลูกค้าหลายรายสนใจเข้ามาซื้ออสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย โดยเปิดโครงการตั้งแต่เดือน พ.ค.ที่ผ่านมา ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 30% คาดว่าจะปิดโครงการได้ภายในกลางปี 2564


กำลังโหลดความคิดเห็น