ตลาดหลักทรัพย์ฯ กำลังจะปรับหลักเกณฑ์การขึ้นเครื่องหมาย “C” หลังจากมีเสียงเรียกร้องจากภาคธุรกิจในตลาดหุ้น อ้างว่า หลักเกณฑ์การพิจารณาขึ้นเครื่องหมายสูงเกินไป สร้างผลกระทบต่อการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน
เครื่องหมาย “C” ประกาศใช้ตั้งแต่วันที่ 2 กรกฎาคม 2561 โดยเป็นมาตรการคุ้มครองผลประโยชน์ผู้ลงทุนในตลาดหุ้น เป็นการส่งสัญญาณเตือนบริษัทจดทะเบียนที่มีเหตุการณ์อันอาจส่งผลกระทบต่อฐานะการเงินและการดำเนินธุรกิจ และหุ้นที่ติดเครื่องหมาย “C” จะต้องซื้อด้วยเงินสด
ปัจจุบัน มีหุ้นบริษัทจดทะเบียนที่ถูกติดเครื่องหมาย “C” จำนวน 13 บริษัท
หลักเกณฑ์การขึ้นเครื่องหมาย “C” มีอยู่หลายประการ แต่หลักเกณฑ์ที่สำคัญคือ ส่วนของผู้ถือหุ้นต่ำกว่า 50% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้ว หักด้วยส่วนต่างมูลค่าหุ้น แต่หลักเกณฑ์จะถูกแก้ไข และช่วยให้บริษัทจดทะเบียนรอดจากการถูกแขวนป้าย “C” มากขึ้น
การพิจารณาปรับหลักเกณฑ์ขึ้นเครื่องหมาย “C” เป็นผลจากตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดรับฟังความคิดเห็น (Hearing) จากหน่ายงานที่เกี่ยวข้องรวม 30 แห่ง ประกอบด้วย บริษัทจดทะเบียน 13 แห่ง บริษัทที่ปรึกษาทางการเงิน 13 แห่ง บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน 3 แห่ง และชมรมวาณิชธนกิจ
93% ของหน่วยงานที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดรับฟังความคิดเห็นมีความเห็นว่า ควรปรับปรุงหลักเกณฑ์ เนื่องจากหลักเกณฑ์ปัจจุบันสูงเกินไป
ส่วนอีก 7% ไม่เห็นด้วยกับการปรับปรุงหลักเกณฑ์ แต่เห็นควรเลิกเครื่องหมาย “C” เพราะการแขวนป้าย C เป็นการลงโทษบริษัทจดทะเบียน ทำให้ขาดความน่าเชื่อถือ ส่งผลกระทบต่อการขอรับความช่วยเหลือจากบุคคลภายนอกและการขอกู้เงินจากสถาบันการเงิน
ผู้ร่วมแสดงความคิดเห็นในส่วน 7% คงจะเป็นพวกคุณธรรมสูงมาก เห็นอกเห็นใจบริษัทจดทะเบียน กลัวขาดความน่าเชื่อถือ แต่ทำไมจึงไม่ตระหนักถึงประชาชนผู้ลงทุน ซึ่งต้องได้รับความเสียหายจากการบริหารงานที่ผิดพลาดล้มเหลวของผู้บริหารบริษัทจดทะเบียน ไม่ว่าโดยสุจริตหรือทุจริตก็ตาม
และทำไมไม่ห่วงนักลงทุนที่อาจตกเป็นเหยื่อหุ้นที่ถูกติดป้าย “C” บ้าง
มาตรการเครื่องหมาย “C” ที่ใช้มากว่า 1 ปี เป็นอีกมาตรการที่ดีในการปกป้องนักลงทุน เพราะช่วยเตือนให้ระมัดระวังหุ้นที่ถูกแขวนป้าย “C” เตือนให้รู้ว่า บริษัทจดทะเบียนเริ่มมีปัญหาฐานะทางการเงิน และต่อไปอาจกลายเป็นบริษัทที่ประสบปัญหาฐานะการเงินจนต้องฟื้นฟูกิจการ รวมทั้งอยู่ในข่ายถูกเพิกถอนจากการเป็นบริษัทจดทะเบียนด้วย
บริษัทจดทะเบียนที่มีปัญหาฐานะทางการเงิน มักเกิดจากผลประกอบการขาดทุน ซึ่งเป็นความผิดพลาดล้มเหลวของผู้บริหารบริษัทจดทะเบียน
ส่วนตลาดหลักทรัพย์ มีหน้าที่ติดตามการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน และเมื่อเห็นว่า บริษัทจดทะเบียนรายใดเริ่มมีปัญหาฐานะทางการเงิน ต้องส่งสัญญาณเตือนให้ผู้ลงทุนระมัดระวังความเสี่ยง ไม่ใช่ช่วยกันปกปิดปัญหาของบริษัทจดทะเบียน จนนักลงทุนเกิดความเสียหาย
หลักเกณฑ์การขึ้นเครื่องหมาย “C” ไม่ได้สูงแต่อย่างใด และถ้าบริษัทจดทะเบียนไม่อยากถูกแขวนป้าย “C” จะต้องรักษาฐานะทางการเงินของบริษัทให้มีความมั่นคง
ถ้าการแขวนป้าย “C” ถือเป็นการลงโทษ บริษัทจดทะเบียนก็ควรถูกลงโทษแล้ว เพราะบริหารงานล้มเหลว จนส่วนของผู้ถือหุ้นต่ำกว่า 50% ของทุนจดทะเบียน
บริษัทจดทะเบียน บริษัทที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน และชมรมวาณิชธนกิจที่ร่วมกันเรียกร้องให้ปรับปรุงและยกเลิกเครื่องหมาย “C” คิดว่าบริษัทจดทะเบียนที่สร้างความเสียหายให้นักลงทุน ไม่ว่าโดยสุจริตหรือทุจริต ควรได้รับการยกย่องและควรที่จะร่วมกันปกป้องหรือ
การเปิดรับฟังความคิดเห็นในวาระใดก็ตาม ตลาดหลักทรัพย์ฯ ควรเปิดกว้างให้นักลงทุนร่วมแสดงความคิดเห็นด้วย ไม่ใช่ปิดห้องรับฟังความคิดเห็นเฉพาะกลุ่มผลประโยชน์ หรือกลุ่มผู้ประกอบการเอกชนเท่านั้น
การที่ผู้ลงทุนไม่มีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็น ทำให้ผลการรับฟังความคิดเห็นมาตรการเครื่องหมาย “C” ที่ออกมาจึงมีลักษณะการปกป้องกลุ่มพวกพ้องที่หากินกับตลาดหุ้น
และเป็นความคิดเห็นที่ได้มาจากกลุ่มผลประโยชน์ จึงสวนทางกับความรู้สึกของสาธารณชน ซึ่งต้องการให้ตลาดหลักทรัพย์ดำเนินมาตรการกำกับดูแลบริษัทจดทะเบียนอย่างเข้มงวด และลงโทษบริษัทจดทะเบียนที่สร้างความเสียหายให้นักลงทุนอย่างเด็ดขาด
การปกป้องคุ้มครองผลประโยชน์ประชาชนผู้ลงทุน ควรเป็นวาระสำคัญที่สุดของตลาดหลักทรัพย์ และมาตรการขึ้นเครื่องหมาย “C” ก็เป็นมาตรการปกป้องนักลงทุนที่ดี จึงไม่ควรทบทวนหลักเกณฑ์ใดๆ ที่จะทำให้การขึ้นเครื่องหมายเตือนความเสี่ยงของนักลงทุนมีความยุ่งยาก
บริษัทจดทะเบียนที่ปล่อยให้ส่วนของผู้ถือหุ้นต่ำกว่า 50% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้ว สะท้อนให้เห็นถึงฐานะการเงินที่อ่อนแอลง สมควรที่จะถูกขึ้นป้ายประจานการบริหารงานแล้ว
จะปล่อยให้นักลงทุนพลัดหลงเข้าไปตายหมู่กับบริษัทจดทะเบียนที่แนวโน้มจะเป็นหุ้นตายซากคาตลาดหุ้น โดยไม่ให้ส่งสัญญาณเตือนภัยกัน
คนที่เสนอยกเลิกป้าย “C” จะไม่ใจร้ายเกินไปหรือ