LPN เร่งเครื่องยกกำลังสองไตรมาส 4 และปีหน้า เปิดตัว 10 โครงการใหม่ ทั้งบ้าน ออฟฟิศ และคอนโดฯ มูลค่ากว่า 15,000 ล้านบาท พร้อมสื่อสารแบรนด์ใหม่ ภายใต้แคมเปญ "ความพอดี ที่ดีกว่า" สร้างการรับรู้และความเข้าใจในแบรนด์ เตรียมออกแคมเปญร้อน กระตุ้นยอดขายโค้งส่งท้ายปี
นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) เปิดเผยว่า ตลอด 30 ปีของการพัฒนาที่อยู่อาศัยภายใต้แบรนด์ "ลุมพินี" LPN มีความมุ่งมั่นในการสร้างบ้านคุณภาพที่คุ้มค่าในราคาที่จับต้องได้ เพื่อสนองต่อความต้องการมีบ้านเป็นของตนเอง และเป็น "ชุมชนน่าอยู่" สำหรับทุกกลุ่มเป้าหมาย ดังนั้น "ความพอดี ที่ดีกว่า" จึงเป็นปรัชญาสำคัญที่ LPN นำมาเป็นองค์ประกอบในการทำงานทุกกระบวนการ ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นบ้านที่พอดีที่สุดกับการอยู่อาศัยในชีวิตจริง
"เรื่องของชุมชนน่าอยู่ เราทำมากว่า 10 ปี และทำต่อไป และต้องถือว่า ชุมชนน่าอยู่เปรียบเสมือนตราสัญลักษณ์ของ LPN แต่ในระยะหลัง นอกจากเรื่องการบริการแล้ว ลูกค้ายังใส่ใจในเรื่องการออกแบบ หน้าตาของอาคารที่ซื้ออยู่อาศัย ซึ่งเราคิดมากตั้งแต่การซื้อที่ดิน การออกแบบ และพัฒนาโครงการจนจบ เราพัฒนายูนิตออกสู่ตลาดมาแล้วไม่ต่ำกว่า 150,000 หน่วย กว่า 100 โครงการ ซึ่งมองในด้านจำนวนที่อยู่อาศัยแล้ว LPN จะเป็นรองบริษัทพฤกษา เรียลเอสเตทฯ และในแต่ละรอบที่พัฒนาโครงการไปแล้ว เราจะกลับมามองว่า สิ่งที่เราพัฒนา ผู้อยู่อาศัยเป็นอยางไรบ้าง มีอะไรต้องปรับปรุงส่วนเกิน เพื่อให้พอต่อการใช้ชีวิตของลูกค้า จึงเป็นที่มาของการออกมาประกาศในการรีแบรนดิ้งใหม่ในรอบ 10 ปี"
โดยได้เปิดตัวแคมเปญโฆษณารีแบรนดิ้งผ่านหนังโฆษณา "Dream Home" ภายใต้แนวคิด "ความพอดี ที่ดีกว่า" กับ 3 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ 1.พอดีกับการออกแบบ 2.พอดีกับการใชัชีวิต และ 3.พอดีกับบริการ ซึ่งจะเน้นสื่อให้ผู้บริโภคได้เข้าใจในชีวิตจริง เราต้องการ "บ้าน" แบบไหน ระหว่างบ้านที่ล้ำยุค ดีไซน์ล้ำสมัย ตรงตามค่านิยม "บ้านในฝัน" ของคนสมัยนี้ที่อาจกลายเป็นฝันร้ายหลังเข้าอยู่ เพราะไม่ได้ออกแบบมาจากการใช้ชีวิตจริง
"งบในการสื่อสารกับผู้บริโภคและการทำประชาสัมพันธ์ควบคู่ไปกับการเปิดโครงการใหม่ในช่วง 6 เดือนข้างหน้าประมาณ 150 ล้านบาท หรือคิดเป็นค่าการตลาดประมาณ 1 เปอร์เซ็นต์ของมูลค่าโครงการ ซึ่งในแผนธุรกิจของ LPN ต้องการกระจายฐานรายได้ออกหลายๆ ส่วน เพื่อลดความเสี่ยง โดยยังคงรักษารายได้จากการสร้างและขายอาคารชุดพักอาศัยปีละหมื่นล้านบาท รวมถึงการขยายการเติบโตของโครงการบ้านพักอาศัยอย่างน้อย 50% ของอาคารชุดพักอาศัย"
ในส่วนของภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2562 นั้น เป็นไปตามที่ประเมินว่า ช่วงไตรมาส 1 และไตรมาส 4 ภาพรวมจะดีขึ้น ยกเว้นไตรมาส 2 และ ไตรมาส 3 ที่ได้รับผลกระทบจากเรื่อง LTV ทำให้ยอดขายที่จะเกิดขึ้นมีน้อยเมื่อเทียบต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งแนวทางในการปรับตัว คือ พยายามเร่งการก่อสร้างโครงการเพื่อให้ความเสี่ยงน้อยลง และเร่งระบายสินค้าคงค้างที่มีมูลค่า 8,000 ล้านบาท ออกไปเร็ว เพื่อทำให้เราเบาใจลง
ทั้งนี้ ในเรื่องแผนการเปิดโครงการในช่วงไตรมาส 4 ปี 62 ต่อเนื่องถึงไตรมาสแรกปี 63 (รวม 6 เดือนหลัง) มีแผนเปิด 10 โครงการใหม่ มูลค่าโครงการกว่า 15,000-16,000 ล้านบาท ได้แก่ ในส่วนของอาคารชุดพักอาศัยที่แน่ชัด 5 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 11,050 ล้านบาท ทำเลเตาปูน เป็นคอนโดฯ จำนวน 800 ยูนิต มูลค่า 1,900 ล้านบาท ราคา 80,000-90,000 บาทต่อตารางเมตร (ตร.ม.) (เปิดปี 62) ทำเลแจ้งวัฒนะ ซอย 10 เป็นคอนโดฯ จำนวน 476 ยูนิต มูลค่า 600 ล้านบาท ราคาไม่เกิน 60,000 บาทต่อ ตร.ม. (ปี 62) ทำเลแจ้งวัฒนะ ซอย 17 เป็นคอนโดมิเนียม 2 อาคาร ราคาไม่เกิน 70,000 บาทต่อ ตร.ม. (เปิดปี 63) โดยอาคารแรก 719 ยูนิต มูลค่า 1,600 ล้านบาท อาคารที่สอง 788 ยูนิต มูลค่า 1,450 ล้านบาท ย่านเอกชัย (แถวเซ็นทรัลพระราม 2) เป็นคอนโดฯ จำนวน 2,293 ยูนิต มูลค่า 2,500 ล้านบาท (เปิดปี 63) โครงการลุมพินี มิกซ์ นราธิวาส-รัชดา มูลค่า 3,000 ล้านบาท อยู่ระหว่างการยื่นรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) (มีทั้งอาคารสำนักงานและอาคารชุด) เปิดปี 63 นอกจากนี้ อยู่ระหว่างการเจรจาที่ดินอีก 2 แปลงในเส้นถนนจรัญสนิทวงศ์ พัฒนาโครงการอาคารชุด (คาดจะอยู่ในแผนเปิดโครงการปี 63)
ส่วนโครงการบ้านพักอาศัย รวม 5 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 5,420 ล้านบาท ได้แก่ โครงการทำเลพหลโยธิน 54/1 จำนวน 253 ยูนิต มูลค่า 880 ล้านบาท รองรับกลุ่มลูกค้าในซอย ทำเลลาดกระบัง ห่างจากสนามบินสุวรรณภูมิ 4 กิโลเมตร จำนวน 400 ยูนิต มูลค่า 1,250 ล้านบาท ทำเลเมืองธานี ภายใต้แบรนด์ Baan 365 จำนวน 182 ยูนิต มูลค่า 1,890 ล้านบาท มีแบบโฮมออฟฟิศ ราคา 18-19 ล้านบาท ทาวน์โฮม 3 และ 4 ชั้น ราคา 8-9 ล้านบาท และบ้านแฝด 3 ชั้น ราคา 14-15 ล้านบาท ทำเลสุขุมวิท 113 (ที่ดินสะสมของบริษัท) อยู่ใกล้กับโครงข่ายรถไฟฟ้า รูปแบบบ้านแฝด 2 ชั้น และทาวน์โฮม รวม 133 ยูนิต มูลค่า 750 ล้านบาท ทำเลท่าข้าม-พระราม 2 เป็นบ้านแฝด 2 ชั้น จำนวน 108 ยูนิต มูลค่า 650 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ในไตรมาส 4 ปีนี้บริษัทตั้งเป้าหมายในการโอนกรรมสิทธิ์อาคารชุดพักอาศัยและบ้านพักอาศัย มูลค่ารวมกว่า 8,502 ล้านบาท จากโครงการ ลุมพินี พาร์ค วิภาวดี-จตุจักร มูลค่า 2,000 ล้านบาท โครงการลุมพินี เพลส รัชดา-สาธุ มูลค่า 1,620 ล้านบาท โครงการลุมพินี ซีเล็คเต็ด สุทธิสาร-สะพานควาย มูลค่า 1,265 ล้านบาท โครงการลุมพินี วิลล์ สุขสวัสดิ์-พระราม 2 มูลค่า 720 ล้านบาท โครงการลุมพินี พาร์ค พหล 32 มูลค่า 1,867 ล้านบาท โครงการบ้านพักอาศัยภายใต้แบรนด์ลุมพินี มูลค่า 530 ล้านบาท โครงการ Baan 365 พระราม 3 มูลค่า 500 ล้านบาท และคาดว่าภายในกลางปี 63 จะสามารถปิดการขายโครงการบ้านหรูได้
"ในช่วงปลายเดือน ต.ค. LPN จะจัดแคมเปญใหญ่กระตุ้นยอดขาย วางเป้าไว้ 4,000 ล้านบาท ประกอบกับในไตรมาส 4 จะมี 4 โครงการคอนโดฯ ที่พร้อมอยู่ สามารถขายได้และโอนได้ โดยไม่ได้รับผลกระทบจาก LTV ซึ่งจะมีมูลค่าประมาณ 4,000 ล้านบาท ทำให้มั่นใจว่าปีนี้รายได้การขายจะได้ประมาณ 10,000 ล้านบาท และรายได้จากธุรกิจบริการอีก 1,000 ล้านบาท ทำให้รายได้ทั้งปีประมาณ 11,000 ล้านบาท และคาดว่าปี 63 ตัวเลขจะใกล้เคียงกับปี 62"