สัปดาห์นี้ บริษัท บี-52 แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ B52 จะ เรียกชำระค่าหุ้นเพิ่มทุน โดยไม่อาจประเมินได้ว่า ผู้ถือหุ้นเดิม จะใช้สิทธิจองซื้อมากเพียงใด เพราะการเพิ่มทุนของบริษัทจดทะเบียนในระยะหลัง มักไม่ประสบผลสำเร็จ เนื่องจากผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่สละสิทธิการจองซื้อ
B52 นำหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 351.20 ล้านหุ้น ราคาพาร์ 50 สตางค์ เสนอขายผู้ถือหุ้นเดิมในสัดส่วน 9 หุ้นเดิมต่อ 2 หุ้นใหม่ ในราคาหุ้นละ 20 สตางค์ และจัดสรรหุ้นใหม่อีกจำนวน 275 ล้านหุ้น เสนอขายบุคคลในวงจำกัดหรือบริษัท ทีเจดี จำกัด ในราคาหุ้นละ 20 สตางค์
หุ้นที่เสนอขายผู้ถือหุ้นเดิม กำหนดเรียกชำระค่าหุ้นระหว่างวันที่ 15-18 ตุลาคมและ 21 ตุลาคมนี้ ส่วนหุ้นเพิ่มทุนที่เสนอขาย บริษัท ทีเจดี จำกัด กำหนดชำระค่าหุ้นภายในวันที่ 22 ธันวาคมนี้
แต่ B52 รายงานว่า หุ้นใหม่จำนวน 275 ล้านหุ้นที่ขายบริษัท ทีเจดี จำกัดนั้น มีการชำระเงินเรียบร้อยแล้ว เหลือแต่ หุ้นใหม่ที่เสนอขายผู้ถือหุ้นเดิมเท่านั้น ซึ่งจะต้องรอดูว่า ผู้ถือหุ้นเดิมจะใช้สิทธิจองซื้อครบถ้วนหรือไม่
เพราะราคาหุ้นที่ซื้อขายบนกระดาน หมิ่นเหม่ที่จะลงมาในระดับเดียวกับราคาหุ้นใหม่หรือมีโอกาสลงมาต่ำกว่า ภายหลังผู้ถือหุ้นเดิมชำระค่าหุ้นเสร็จสิ้น
โดยราคาหุ้น B52 บนกระดาน เคลื่อนไหวอยู่ในระดับ 20 บาทเศษ
ในรอบ 2 ปี B52 เปลี่ยนชื่อมาแล้ว 3 รอบ จากบริษัท แอสเซท ไบร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ ABC เป็นบริษัท ดิจิตอลเทค แพลนเน็ต จำกัด (มหาชน) หรือ DIGI ก่อนที่จะเปลี่ยนโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่ โดยนายจิรวุฒิ คุวานันท์ เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับหนึ่ง ในสัดส่วน 41.42 % ของทุนจดทะเบียน และเปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่อีกครั้ง
ช่วงที่ใช้ชื่อ ABC เคยมีข่าวใหญ่เกี่ยวกับครูอ้อย หรือนางสาวฐิตินาถ ณ พัทลุง นักจัดหลักสูตรอบรม เข็มทิศชีวิต ซึ่งชักชวนนักลงทุนซื้อหุ้น ABC จนเกิดความเสียหาย
เมื่อเปลี่ยนชื่อเป็น DIGI มีข่าวใหญ่ นายปรเมษฐ์ รังรองธานินท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทและผู้ถือหุ้นใหญ่ ถูกสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต) ลงโทษปรับเงิน 120 ล้านบาท ฐานร่วมกับพวกรวม 7 คน ปั่นหุ้น DIGI โดยยินยอมชำระค่าปรับ และขายหุ้นออกให้นายจิรวุฒิ
ส่วนครูอ้อย ยังคงถือหุ้นอย่างต่อเนื่อง ในสัดส่วน 1.50 % ของทุนจดทะเบียนโดยไม่เปลี่ยนแปลง
ผลประกอบการ B52 ขาดทุนต่อเนื่อง โดยปี 2560 ขาดทุนสุทธิ 168.96 ล้านบาท ปี 2561 ขาดทุนสุทธิ 319.36 ล้านบาท และงวด 6 เดือนแรกปีนี้ขาดทุน 31.26 ล้านบาท
ราคาหุ้น B52 ในรอบ 12 เดือน เคยขยับขึ้นไปสูงสุดที่ 41 สตางค์ และต่ำสุดที่ 17 สตางค์ ก่อนจะย่ำอยู่แถว 20 สตางค์ต้น ๆ มาพักใหญ่
การเพิ่มทุนครั้งนี้ ผู้ถือหุ้นเดิมที่จะใช้สิทธิ์จองซื้อหุ้นเพิ่มทุน จะมีความเสี่ยงในเรื่องราคาหุ้นเพิ่มทุนที่กำหนดไว้ 20 สตางค์
เพราะราคาหุ้นที่ซื้อขายบนกระดาน สูงกว่าราคาหุ้นเพิ่มทุนไม่มาก โดยมีกันชนความเสี่ยงที่หุ้นบนกระดานจะหลุดลงมาในราคาเดียวกับหุ้นเพิ่มทุนเพียงประมาณ 10%
และมีความเสี่ยงจากผลประกอบการ เพราะหากยังขาดทุนสุทธิต่อเนื่อง ราคาหุ้นคงไม่ฟื้น และมีโอกาสฟุบลงมาอีก
นอกจากนั้นยังมีประเด็นที่อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นใจของผู้ถือหุ้นรายย่อย กรณีการใช้สิทธิของผู้ถือหุ้นใหญ่ นายจิรวุฒิ ซึ่งถือหุ้นกว่า 41 % ของทุนจดทะเบียน
เพราะ หากนายจิรวุฒิไม่ใส่เงินเพิ่มทุน ผู้ถือหุ้นรายย่อยจะรู้สึกเหมือนถูกหลอกให้ซื้อหุ้นเพิ่มทุน
ยังมีเวลาอีกหลายวันที่ ผู้ถือหุ้นรายย่อยจะพิจารณาตัดสินใจว่า ควรใส่เงินซื้อหุ้นเพิ่มทุน B52 หรือไม่ และมีแรงจูงใจที่จะเติมเงินถมในบริษัทจดทะเบียแห่งนี้หรือไม่