ผู้ถือหุ้นบริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) หรือ CNS เหมือนถูกรางวัลใหญ่ เมื่อคณะกรรมการบริษัทประกาศมติอนุมัติการ เพิกถอนบริษัทออกจากตลาดหลักทรัพย์ โดยผู้ถือหุ้นใหญ่จะซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นในราคาหุ้นละ 2.51 บาท
คณะกรรมการ CNS ประชุมเมื่อวันที่ 3 ตุลาคมที่ผ่านมา และแจ้งมติผ่านตลาดหลักทรัพย์ช่วงเช้าวันที่ 4 ตุลาคม ระบุว่า บริษัท โนมูระ เอเชีย อินเวสเม้นท์ (สิงคโปร์) จำกัด ซึ่งถือหุ้นใหญ่ใน CNS สัดส่วน 85.78% ของทุนจดทะเบียน ต้องการเพิกถอนบริษัทออกจากการเป็นบริษัทจดทะเบียน และจะจัดทำคำเสนอซื้อหุ้นจากนักลงทุนทั่วไปราคาหุ้นละ 2.51 บาท
นอกจากนั้น ยังขอขยายเพดานการซื้อขายหุ้นให้เป็นไปตามสภาพเป็นจริง โดยราคาหุ้นสามารถขึ้นลงเกินกว่าเพดานที่กำหนดไว้ 30%
ข่าวการเพิกถอนบริษัทออกจากการเป็นบริษัทจดทะเบียน ตั้งโต๊ะรับซื้อหุ้นที่ 2.51 บาท ส่งผลให้หุ้น CNS พุ่งขึ้นทันทีที่เปิดการซื้อขายเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ 2.42 บาท เพิ่มขึ้น 0.87 สตางค์ หรือเพิ่มขึ้น 56.13%
ผู้ที่ถือหุ้น CNS ไว้ เหมือนถูก “แจ็กพอต”
ราคาหุ้น CNS เคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ มาพักใหญ่แล้ว ราคาย่ำอยู่แถว 1.60 บาท มูลค่าซื้อขายวันละไม่กี่หมื่นบาท บางวันอาจขยับขึ้นมาระดับหลักแสนบาท
และตลอด 1 สัปดาห์ก่อนประกาศเพิกถอน การซื้อขายหุ้น CNS ไม่มีความผิดปกติแต่อย่างใด ไม่มีสิ่งบอกเหตุจะมีข่าวการเพิกถอนและซื้อหุ้นคืนในราคา 2.51 บาท
สะท้อนให้เห็นว่า ฝ่ายบริหาร CNS เก็บข้อมูลไว้ดีมาก ไม่มีข่าวการเพิกถอนรั่วไหลออกมา ไม่มีการนำข้อมูลภายในมาใช้แสวงหาผลประโยชน์จากการซื้อขายหุ้น (อินไซเดอร์เทรดดิ้ง) เอาเปรียบนักลงทุนทั่วไป
CNS เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2531 หลังจากนำหุ้นเสนอขายนักลงทุนทั่วไปในราคาหุ้นละ 33 บาท จากราคาพาร์ 10 บาท ปัจจุบันปรับพาร์เหลือ 1 บาท
ผลประกอบการ CNS มีกำไรต่อเนื่อง จ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ เพียงแต่ผลกำไรปี 2561 เริ่มชะลอตัว และมีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่องในปีนี้ เนื่องจากการแข่งขันในธุรกิจหลักทรัพย์รุนแรงขึ้น ทำให้รายได้จากค่านายหน้าซื้อขายหุ้นลดลง
ผู้ถือหุ้นรายย่อย CNS มีจำนวนทั้งสิ้น 2,374 ราย ถือหุ้นรวมกันในสัดส่วน 14.18% ของทุนจดทะเบียน และส่วนใหญ่น่าจะมีต้นทุนสูง หรือขาดทุนกันถ้วนหน้า
แต่การประกาศเพิกถอนจากการเป็นบริษัทจดทะเบียน และผู้ถือหุ้นใหญ่รับซื้อหุ้นคืนในราคา 2.51 บาท จะช่วยเยียวยาผู้ถือหุ้นรายย่อยที่เสียหายจากการลงทุน และบางคนอาจมีกำไรจากการขายหุ้นคืนให้ผู้ถือหุ้นรายใหญ่
ราคาหุ้นที่จะตั้งโต๊ะรับซื้อ 2.51 บาท ถือว่ามีความยุติธรรม เพราะเป็นราคาที่สูงกว่ามูลค่าหุ้นทางบัญชี ซึ่งอยู่ที่ 2.41 บาทต่อหุ้น
แต่สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับการประกาศเพิกถอนบริษัทออกจากตลาดหลักทรัพย์ของ CNS ครั้งนี้คือ ไม่มีการเอารัดเอาเปรียบนักลงทุนทั่วไป เพราะไม่มีอินไซเดอร์เทรดดิ้ง
ปัญหาการใช้ข้อมูลภายในซื้อขายหุ้นเอาเปรียบนักลงทุน เกิดขึ้นบ่อยมาก จนแทบจะเป็นพฤติกรรมปกติของบริษัทจดทะเบียน เพราะมีข่าวการใช้อินไซด์อย่างต่อเนื่อง มีทั้งที่ถูกจับได้และถูกลงโทษ และทั้งผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนที่ลอยนวล
การนำข้อมูลภายในมาแสวงหาประโยชน์จากการซื้อขายหุ้น เป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นจากการไร้สำนึกในธรรมาภิบาล ไม่ละอายใจการกระทำความผิด ไม่กลัวการถูกประณามการเอารัดเอาเปรียบนักลงทุนทั่วไป
CNS ได้สร้างแบบอย่างของบริษัทจดทะเบียนที่ดี และแสดงให้เห็นว่า การป้องกันไม่ให้เกิดอินไซเดอร์เทรดดิ้งนั้น บริษัทจดทะเบียนสามารถควบคุมได้
เพียงแต่ผู้บริหารบริษัทจดทะเบียน มีความ ตั้งใจจะป้องกันปัญหาอินไซเดอร์เทรดดิ้งหรือไม่ หรือเป็นอินไซเดอร์ เสียเอง
CNS กำลังเพิกถอนออกจากตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งน่าเสียดาย เพราะเป็นบริษัทจดทะเบียนที่ดี ยึดมั่นในจริยธรรมและธรรมาภิบาลที่ดี ซึ่งมีอยู่ไม่มาก
ส่วนบริษัทจดทะเบียนที่ไร้จริยธรรม ขาดสำนึก แหกกฎกติกา ละเมิดกฎหมาย ซึ่งควรถูกตะเพิดให้พ้นตลาดหุ้น แต่บริษัทจดทะเบียนเน่าๆ นับสิบนับร้อยแห่ง กลับลอยนวลอยู่ในตลาดหุ้น และพร้อมเอาเปรียบนักลงทุนในทุกรูปแบบ
ตลาดหลักทรัพย์จัดงานแจกรางวัลธรรมาภิบาลให้บริษัทจดทะเบียนประจำทุกปี ปีนี้น่าจะมอบรางวัลธรรมาภิบาลให้ CNS
เพราะเก็บรักษาข้อมูลอินไซด์การซื้อหุ้นคืนได้เยี่ยมยอดจริงๆ
