xs
xsm
sm
md
lg

บทลงโทษบิ๊ก JAS เบาหวิว หลายฝ่ายกระทุ้งเพิ่มมาตรการ

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


หลายฝ่ายเรียกร้องเพิ่มบทลงโทษ “อินไซด์หุ้น” และเร่งกระบวนการสอบสวน หลังกรณีผู้บริหาร JAS “พิชญ์ โพธารามิก” ชิงลาออก พร้อมกระตุ้น 32 นักลงทุนสถาบันขยับตัวมากกว่าเจตนารมณ์ เพื่อป้องกันและปรามผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนแตกแถว หลังพบเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ช่วงที่ผ่านมาในวงการตลาดทุน ต้องยอมรับว่ามีข่าวของ บมจ.จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล (JAS) เกิดขึ้นมาเป็นระลอกซึ่งส่งผลทั้งเชิงบวกและลบต่อราคาหุ้นที่ซื้อขายกันอยู่บนกระดานหลักทรัพย์ และแน่นอนว่าไม่มีใครปรารถนาอยากให้มีข่าวเชิงลบเข้ามาส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจและราคาหุ้นที่ซื้อขายอยู่ในปัจจุบัน แต่ สำหรับ JAS คงต้องยอมรับว่าหนีความจริงเรื่องดังกล่าวไปไม่พ้น แม้ล่าสุดจะมีข่าวที่ส่งผลเชิงบวกอย่างการขายทรัพย์สินเส้นใยแก้วนำแสงส่วนเพิ่มให้แก่กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ต จัสมิน (JASIF) ครั้งล่าสุด จนบริษัทคาดว่าจะมีการบันทึกกำไรพิเศษจากขายทรัพย์สินดังกล่าวประมาณ 1 หมื่นล้านบาท หรือแม้หากนับรวมกับค่าใช้จ่ายในการจองซื้อหน่วยลงทุนที่จะออกใหม่ คาดว่าจะส่งผลให้กำไรลดลงเหลือประมาณ 7 - 8.5 พันล้านบาทก็ตาม

ข่าวสำคัญที่ส่งผลต่อราคาหุ้นของ JAS และราคาหุ้นอื่นๆในกลุ่ม อย่าง บมจ.จัสมิน เทเลคอม ซิสเต็มส์ (JTS) และ บมจ.โมโน เทคโนโลยี (MONO) ปรับตัวร่วงอย่างมีนัยสำคัญ หนีไม่พ้น กรณีสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) รายงานว่า ได้รับข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่า ในระหว่างวันที่ 29 กันยายน 2559 ถึงวันที่ 12 ตุลาคม 2559 นายพิชญ์ โพธารามิก ผู้บริหารและผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท ได้ร่วมกับ “นายเกริกไกร ไตรบัญญัติกุล ” ซื้อหุ้น JTS (โดยใช้บัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของนายเกริกไกร) ก่อนที่จะมีการเปิดเผยงบการเงินไตรมาสที่ 3 ประจำปี 2559 ที่มีผลกำไร 21.39 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นการพลิกกลับจากที่มีผลขาดทุนมาตลอดตั้งแต่ปี 2557 และเป็นข้อมูลที่มีนัยสำคัญต่อราคาหลักทรัพย์

โดยที่ผลกำไรของ JTS ดังกล่าว เกิดจากการที่ JTS ได้รับการว่าจ้างงานจากบริษัท ทริปเปิล ที บรอดแบนด์ จำกัด (มหาชน) (TTTBB) ซึ่งนายพิชญ์ดำรงตำแหน่งเป็นประธานกรรมการ และนายพิชญ์ยังเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการของ JAS ที่ให้นโยบายในการว่าจ้างงานภายในกลุ่มด้วย ดังนั้น นายพิชญ์จึงอยู่ในฐานะที่ล่วงรู้ข้อมูลที่มีนัยสำคัญต่อราคาหลักทรัพย์ของ JTS และการกระทำข้างต้นของนายพิชญ์และนายเกริกไกร จึงเป็นการซื้อหุ้น JTS โดยใช้ข้อมูลภายในหรือ อินไซเดอร์ อันเข้าข่ายเป็นความผิดตามมาตรา 241 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 (พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ) ที่ใช้บังคับอยู่ในขณะกระทำความผิด

ทำให้ คณะกรรมการพิจารณามาตรการลงโทษทางแพ่ง (ค.ม.พ.) มีมติให้ ก.ล.ต. นำมาตรการลงโทษทางแพ่งมาใช้บังคับกับผู้กระทำความผิดทั้ง 2 ราย โดยกำหนดให้ (1) นายพิชญ์ ชำระค่าปรับทางแพ่งเป็นเงิน32.65 ล้านบาท และชดใช้เงินในจำนวนที่เท่ากับผลประโยชน์ที่พึงได้รับเป็นเงิน 26.12 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 58.77 ล้านบาท และ นายเกริกไกร ชำระค่าปรับทางแพ่งเป็นเงินจำนวน 3.33 แสนบาท ซึ่งหากผู้กระทำความผิดไม่ยินยอมปฏิบัติตามมาตรการลงโทษทางแพ่งที่ ค.ม.พ. กำหนด ก.ล.ต. จะดำเนินการฟ้องคดีต่อศาลแพ่ง เพื่อขอให้ชดใช้ผลประโยชน์ที่ได้รับและชำระเงินค่าปรับทางแพ่งตามอัตราสูงสุดที่กฎหมายกำหนด

ไม่เพียงเท่านี้ การที่ ค.ม.พ. กำหนดให้ใช้มาตรการลงโทษทางแพ่งกับผู้กระทำความผิด จะเป็นเหตุให้เข้าข่ายเป็นผู้มีลักษณะขาดความน่าไว้วางใจในการเป็นกรรมการหรือผู้บริหารของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์และบริษัทจดทะเบียนตามประกาศคณะกรรมการ ก.ล.ต. ซึ่งจะมีผลให้นายพิชญ์ต้องพ้นจากตำแหน่งกรรมการหรือผู้บริหารในบริษัทดังกล่าว

ขณะที่ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน JAS ได้เคลื่อนไหวเช่นกัน นั่นคือ บริษัทแจ้งว่า บริษัทฯ ยังไม่ได้รับหนังสือแจ้งจาก ก.ล.ต. เกี่ยวกับการให้พ้นจากตำแหน่งของกรรมการและผู้บริหารข้างต้น แต่ได้รับหนังสือแจ้งการลาออกจากตำแหน่งของนายพิชญ์ โพธารามิก ซึ่งแจ้งว่ายังไม่ได้รับทราบในรายละเอียดจาก ก.ล.ต. ในเรื่องดังกล่าว แต่เพื่อให้เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาลที่ดี จึงขอลาออกจากตำแหน่งข้างต้น โดยให้การลาออกมีผลตั้งแต่วันที่ 17 กันยายนที่ผ่านมา พร้อมเชื่อว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อฐานะทางการเงินและผลการดำเนินงานของบริษัทฯ รวมถึงการดำเนินการตามแผนธุรกิจที่วางไว้แต่อย่างใด

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ทำให้หลายฝ่ายในวงการตลาดทุนมีความเห็นที่แตกต่างกันออกไป โดยไม่บางกลุ่มเชื่อว่าการลาออกของผู้บริหารและผู้ถือหุ้นใหญ่ JAS ที่อ้างว่าเพื่อให้เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาลที่ดีนั้น เป็นเรื่องไม่ถูกต้อง แต่ควรเป็นคำสั่งของ ก.ล.ต.ในการให้พ้นจากตำแหน่งมากกว่า เพราะมีหลักฐานพบการกระทำผิดซึ่งผู้กระทำควรได้รับบทลงโทษตามเงื่อนไขและเกณฑ์ที่กำหนดจากการแตกแถวในความเป็นมืออาชีพ

สำหรับ นายพิชญ์ โพธารามิก ถือเป็นผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักดีของนักลงทุน โดยเฉพาะเมื่อต้นปี 2559 “พิชญ์” ได้นำ บมจ.แจสโมบาย บรอดแบนด์ ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของจัสมินเข้าร่วมประมูลคลื่นความถี่ 900 MHz ทำให้แข่งขันประมูลราคากันอย่างดุเดือดและแจสโมบายชนะในการประมูลดังกล่าว แต่สุดท้ายไม่มาชำระเงิน หลังจากนั้นไม่นานในปีเดียวกัน จู่ ๆ นายพิชญ์ก็ได้ประกาศตั้งโต๊ะทำคำเสนอซื้อหุ้นสามัญทั้งหมดของ JAS ครั้งมโหฬาร จำนวน 4.09 พันล้านหุ้น หรือ 68.93% และเสนอซื้อใบสำคัญแสดงสิทธิ์ JAS-W3 จำนวน 2.73 พันล้านหน่วย โดยมีธนาคารไทยพาณิชย์เป็นผู้สนับสนุนเงินกู้ในการทำคำเสนอซื้อครั้งนั้น ในวงเงินไม่เกิน 4.25 หมื่นล้านบาท แม้จะไม่สามารถซื้อหุ้นคืนได้หมด โดยใช้เงินกู้ไปราว 2.2 หมื่นล้านบาท แต่ “พิชญ์” ได้นำเงินปันผลจากการถือหุ้น JAS มาทยอยจ่ายหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยคืนให้ธนาคารไทยพาณิชย์ ขณะที่หลังจากนั้นราคาหุ้น JAS มีการวิ่งขึ้นวิ่งลงเป็นรอบ ๆ

ขณะเดียวกันอีกกลุ่ม มองว่าบทลงโทษของ ก.ล.ต. ต่อเรื่องดังกล่าว ดูจะไม่เพียงพอต่อการป้องกันหรือปรามผู้บริหารบริษัทในตลาดหุ้นที่คิดจะใช้ข้อมูลภายในมาสร้างประโยชน์ให้กับตนเอง หลังจากที่ผ่านมา ไม่ใช่ JAS เพียงแต่บริษัทแรกที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ แต่ยังมีอีกหลายบริษัทที่เกิดขึ้น แม้จะได้รับลงโทษในทิศทางเดียวกัน แต่ดูเหมือนบทลงโทษดังกล่าวยังไม่เพียงพอที่จะป้องกันเหตุเหล่านี้ได้ และยังรวมถึงความล่าช้าในการตรวจสอบที่ทำให้ผู้บริหารที่กระทำผิดได้รับประโยชน์ในช่วงเวลาที่ก่อนผลตรวจสอบจะออกมา

ที่ผ่านมา หุ้น JAS เป็นหุ้นที่มีความเคลื่อนไหวหวือหวาจากประเด็นข่าวลือที่เกิดขึ้นว่าจะมีการเทกโอเวอร์กิจการเนื่องจากมีโอปอเรเตอร์ในไทยและเกาหลีใต้สนใจธุรกิจบรอดแบนด์ จนสุดท้ายเป็นเพียงข่าวลือ และล่าสุดข่าวเชิงบวกจากการขายสินทรัพย์เข้ากองทุน JASIF ที่สร้างความสนใจให้นักลงทุนได้ตลอด เพราะทำให้คาดหวังรายการพิเศษหนุนกำไรพร้อมการจ่ายปันผลพิเศษตามมา

ล่าสุด คณะกรรมการ JAS ได้อนุมัติให้แต่งตั้ง นางสาวสายใจ คีตสิน ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ของบริษัทดำรงตำแหน่งรักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทฯ แทน นายพิชญ์ โพธารามิก ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทฯ คนเดิมซึ่งลาออกจากตำแหน่ง โดยมีผลตั้งแต่ 20 กันยายน ที่ผ่านมา

แต่เรื่องดังกล่าวไม่อาจช่วยให้ความหวั่นวิตกของนักลงทุนที่ถือหุ้นJAS ผ่อนคลายความกังวลลงได้ เมื่อมีกระแสข่าวว่า นักลงทุนสถาบัน 32 ราย ซึ่งได้ร่วมกันประกาศเจตนารมณ์ไม่ลงทุนในบริษัทจดทะเบียนที่กระทำความผิดร้ายแรงตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์ รวมทั้งไม่ตระหนักถึงสังคม สิ่งแวดล้อม และธรรมาภิบาล หรือ ESG เริ่มนำเรื่องดังกล่าวมาพิจารณา โดยสัญญาณที่เห็นได้ชัดเจนมากที่สุด คือ กรณีที่ “วิทัย รัตนากร” เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) ที่ออกมาแสดงความเห็นต่อเรื่องดังกล่าว่า เกณฑ์ที่ กบข. ได้ร่วมกับ 32 บริษัท คือไม่สนับสนุนบริษัทที่ไม่มีธรรมาภิบาล แต่จากข้อตกลงเบื้องต้นก็จะต้องเข้าไปตรวจสอบบริษัทที่มีปัญหา ซึ่งได้นัด JAS เพื่อพูดคุยตรวจสอบแล้วว่ามีปัญหาระบบควบคุมภายใน ที่ป้องกันไม่ให้เกิดปัญหานี้อีกหรือไม่ ก่อนที่จะระงับการลงทุน แต่ก็ขึ้นอยู่กับเกณฑ์ของ บลจ. แต่ละแห่งว่าเข้มงวดมากน้อยแค่ไหน ส่วน กบข. นั้นมีความเข้มงวดมาก และไม่ได้ลงทุนกับ JAS อยู่แล้ว แต่การระงับการลงทุนจะไม่ส่งผลกระทบไปยัง JASIF เพราะเป็นคนละบริษัทกัน

รวมถึง “วศิน วณิชย์วรนันต์” ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย จำกัด ในฐานะนายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) แสดงความเห็นว่า กองทุนมีพันธสัญญาที่ต้องปฏิบัติร่วมกันในด้านการลงทุน ซึ่งจากกรณีที่เกิดปัญหาด้านธรรมาภิบาลของผู้บริหารนั้น กองทุนจะไม่มีสถานะลงทุนเพิ่มเติม เนื่องจากเราต้องการให้บริษัทจดทะเบียนเติบโตอย่างยั่งยืน จึงมีการตกลงด้านนี้กันมากขึ้น ส่วนการที่กองทุนมีสถานะถือครองอยู่นั้น จะต้องมีการพิจารณาเองว่าจะมีการขายลดพอร์ตหรือถือต่อไป ขึ้นอยู่กับว่ามองประเด็นนี้เป็นความเสี่ยงมากน้อยแค่ไหน


โดยรวมแน่นอน ตามภาพรวมทิศทางธุรกิจของ JAS และกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน JASIF ยังมีทิศทางที่สดใส จากแนวโน้มผลดำเนินงานที่คาดว่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่นักวิเคราะห์หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ แต่สิ่งที่คนในวงการตลาดทุนต้องการเห็นมากขึ้นจากบทเรียนในครั้งนี้ คือ บทลงโทษที่มากกว่านี้ของ ก.ล.ต. รวมถึงการออกมาตอบโต้ต่อการกระทำดังกล่าวของกลุ่ม 32 นักลงทุนสถาบัน หรือ ESG ที่เคยประกาศเจตนารมณ์ไว้นั้น ควรมีมากกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบันนี้ เพื่อให้ผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนใส่ใจต่อความเป็นมืออาชีพ และตระหนักถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการกระทำผิดที่มากขึ้นกว่าในปัจจุบันทั้งในแง่ของตัวบุคคล และองค์กร
พิชญ์ โพธารามิก ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการ บมจ.จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล JAS และ บมจ.โมโน เทคโนโลยี (MONO)
วิทัย รัตนากร เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.)


กำลังโหลดความคิดเห็น