สิงห์ระบุปี 62 เป็นปีแห่งการเก็บเกี่ยวหลังทุ่มเม็ดเงินลงทุนมากว่า 5 ปี มั่นใจปี 63 รายได้แตะ 20,000 ล้านบาท พร้อมทุ่มอีก 15,000 ล้านบาทภายใน 4 ปีขยายธุรกิจคอมเมอร์เชียล ตั้งเป้าปี 68 คาดมีโรงแรมในเครือ 80 แห่ง 8,000 ห้อง
นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ S เปิดเผยว่า บริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ครบ 5 ปี ซึ่งในช่วงหลายปีที่ผ่านมาได้ขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง จนทำให้มีการเติบโตทางธุรกิจอย่างก้าวกระโดด ส่งผลให้ปี 2562 เป็นปีแห่งการเก็บเกี่ยวรายได้ของ สิงห์ เอสเตท ทุกกลุ่มธุรกิจหลักมีการเติบโตและขยายตัว เพื่อเปิดรับโอกาสการลงทุนใหม่ในปีถัดไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มธุรกิจโรงแรมซึ่งจะทำให้มีรายได้ประจำ
สำหรับกลุ่มธุรกิจที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องและมีความมั่นคงของรายได้ คือ ธุรกิจอาคารสำนักงานและพื้นที่ค้าปลีก โดยเฉพาะโครงการสิงห์ คอมเพล็กซ์ บริเวณแยกอโศก-เพชรบุรี ได้รับการตอบรับจากผู้เช่าเกินความคาดหมายด้วยอัตราการเช่าพื้นที่กว่า92% ดังนั้นบริษัทฯ จึงมีแผนการพัฒนาโครงการมิกส์ยูสโครงการใหม่ ภายใต้ชื่อ “เอส โอเอสซิส” บนถนนวิภาวดี-รังสิต มูลค่า 3,695 ล้านบาท ความสูง 36 ชั้น มีพื้นที่ให้เช่า (NLA) ประมาณ 53,000 ตารางเมตร แบ่งออกเป็นพื้นที่สำนักงาน และ พื้นที่ค้าปลีกบางส่วน ซึ่งจะใช้เวลาในการพัฒนาโครงการประมาณ 3 ปี โดยได้เริ่มการก่อสร้างในปีนี้
สำหรับแผนการดำเนินงานในช่วง 4 ปี (2562-2566) บริษัทฯ คาดการณ์งบลงทุนในการขยายธุรกิจคอมเมอร์เชียลไว้ประมาณ 15,000 ล้านบาท ส่วนกลุ่มธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัย บริษัทฯ มียอดขายที่รอรับรู้รายได้จากการโอน (Backlog) ของคอนโดมิเนียมมูลค่า 4,400 ล้านบาท จากโครงการ The ESSE Asoke และ The ESSE at SINGHA COMPLEX
ส่วนกลุ่มธุรกิจโรงแรมซึ่งถือว่ามีความสำคัญอย่างมากกับการเติบโตของบริษัทในปีนี้ และมีรายได้ประจำจากการลงทุนในกิจการโรงแรม โดยปีที่ผ่านมาได้เข้าซื้อโรงแรม Outrigger 6 โรงแรมใน 4 ประเทศ และการเปิดตัวโครงการ CROSSROADS ประเทศมัลดีฟส์ เมื่อกลางเดือนกันยายนที่ผ่านมา ซึ่งประกอบไปด้วย ท่าเรือยอร์ชมารีนาพร้อมร้านค้าและร้านอาหารชื่อดัง พร้อมทั้งเปิดตัวโรงแรม 2 แห่ง ได้แก่ SAii Lagoon Maldives, Curio Collection by Hilton และ Hard Rock Hotel Maldives เพื่อรองรับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในระยะที่ผ่านมาและมีศักยภาพในการเติบโตต่อเนื่องซึ่งเป็นผลมาจากนโยบายส่งเสริมเศรษฐกิจของรัฐบาลมัลดีฟส์
"ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา บริษัทมีการเติบโตทางธุรกิจอย่างก้าวกระโดด จึงทำให้สามารถจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้หุ้นละ 0.04 บาท ในปี 62 และยังส่งผลให้ปี 62 เป็นปีแห่งการเก็บเกี่ยวรายได้ของ สิงห์ เอสเตท ทุกกลุ่มธุรกิจหลักมีการเติบโตและขยายตัว เพื่อเปิดรับโอกาสการลงทุนใหม่ในปีถัดไป"นายนริศ กล่าว
นายนริศ กล่าวว่า การเปิดโครงการ CROSSROADS ในช่วงกลางเดือนก.ย.ที่ผ่านมา ถือว่าได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า โดยที่บริษัทคาดว่าอัตราการเข้าพักของโรงแรมทั้ง 2 แห่ง คือ SAii Lagoon Maldievs และ Hard Rock Hotel ในมัลดีฟส์จะมีอัตราการเข้าพักอยู่ที่ 30% ภายในสิ้นปีนี้ และจะเพิ่มเป็น 50% ภายในไตรมาส 1/63 ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซั่นของมัลดีฟส์ โดยที่ในช่วงไตรมาส 4/62 คาดว่าโครงการ CROSSROADS จะสร้างรายไดิให้กับบริษัทราว 500-600 ล้านบาท
นอกจากนี้บริษัทเตรียมเสนอขายหุ้นสามัญให้กับประชาชนครั้งแรก (IPO) ของบริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ SHR ซึ่งเป็ฯบริษัทในเครือ จำนวน 1,437.45 ล้านหุ้น คิดเป็น 40% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้ว และเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ได้ภายในเดือนนพ.ย.นี้ หลังจากที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เริ่มนับหนึ่งไฟลิ่งเมื่อวันที่ 10 ก.ย.ที่ผ่านมา
สำหรับเม็ดเงินที่ได้จากการระดมทุนบริษัทจะนำไปชำระคืนหนี้เงินกู้สถาบันการเงิน และลงทุนในโรงแรมแห่งใหม่ทั้งการซื้อกิจการโรงแรมและก่อสร้างโรงแรมใหม่ ซึ่งขณะนี้มีโรงแรมในต่างประเทศที่อยู่ระหว่างการเจรจาหลายแห่ง และเตรียมประกาศแผนการลงทุนโรงแรมใหม่หลังจากที่นำ SHR เข้าตลาดแล้ว ซึ่งปัจจุบันค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเป็นโอกาสที่บริษัทจะเข้าซื้อโรงแรมได้ในราคาที่ถูกลง โดยที่บริษัทมีแผนการเพิ่มจำนวนโรงแรมเป็น 80 แห่ง ประมาณ 8,000 ห้อง ภายใน 2568 จากปัจจุบันมีจำนวนโรงแรมอยู่ที่ 39 แห่ง 4,647 ห้อง
ในปี 62 บริษัทคาดว่ารายได้สิงห์ เอสเตทจะอยู่ที่ 15,000 ล้านบาท และจะเพิ่มเป็น 20,000 ล้านบาทในปี 63 ส่วนเอส โฮเทล มีรายได้ประมาณ 4,000 ล้านบาท ซึ่งรายได้จะมาจากการที่โครงการ CROSSROADS เปิดให้บริการเต็มปี โครงการโรงแรมในอังกฤษ โรงแรมไนไทย และโรงแรมในเครือ Outtrigger และยังมีโครงการคอนโดมิเนียมที่ทยอยโอนอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าบริษัทจะชะลอแผนการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยออกไป โดยเฉพาะการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม ซึ่งบริษัทได้มีการเลื่อนเปิดโครงการคอนโดมิเนียม ESTRO รางน้ำ จากปลายปี 62 ไปเป็นต้นปี 63 หลังจากที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัว จากมาตรการ LTV ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)