xs
xsm
sm
md
lg

กลยุทธ์เฟ้นเล่นหุ้นปันผล คัดอย่างไร ? - เลือกอย่างไร ?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


จากที่หลาย ๆ โบรกเกอร์ แนะนำนักลงทุนสำหรับการลงทุนในช่วงเดือนกันยายนนี้ ควรหันมาพิจารณาเก็บหุ้นปันผลดี ๆ ไว้ในพอร์ตลงทุนอย่างน้อยโดยควรเป็นหุ้นใน SET 50 ซึ่งมี Highest Div. Yield ไม่ต่ำกว่า 5.0% นั้น การแนะนำดังกล่าวนำมาสู่คำถามที่ว่าแล้วจะเลือกหุ้นปันผลอย่างไร หรือจะพิจารณาจากเกณฑ์อะไรที่บ่งชี้ว่าหุ้นตัวนี้เป็นหุ้นปันผล ?

กล่าวโดยสรุป หุ้นปันผลคือ หุ้นที่มีผลการดำเนินงานดี และมีความสามารถจ่ายปันผลตอบแทนอยู่ที่ระดับน่าพอใจ ที่ผ่านมาหุ้นประเภทนี้จะเหมาะกับสภาวะตลาดหุ้นที่มีความผันผวน และนักลงทุนขาดความมั่นใจในการลงทุนหุ้นทั่วไป และจะเริ่มหันมาให้น้ำหนักลงทุนต่อหุ้นประเภทนี้ เพราะแม้ว่าช่วงเวลาดังกล่าวจะไม่สามารถทำกำไรได้จากส่วนต่างราคาหุ้นได้ แต่หุ้นปันผลยังช่วยตอบโจทย์ นั่นคือยังช่วยสร้างผลตอบแทนในรูปแบบเงินปันผลให้แก่นักลงทุนได้ ดีกว่านำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์อื่น ๆ ที่ให้ผลตอบแทนต่ำกว่า

หมายความว่า การมีหุ้นปันผลที่จ่ายปันผลให้ทุก ๆ ปีอยู่ในพอร์ตลงทุน จะทําให้อัตราผลตอบแทนของพอร์ตมีความสม่ำเสมอตามไปด้วย แม้ช่วงตลาดหุ้นเป็นขาลงหรือมีความผันผวนก็ตาม เพราะหุ้นปันผลจะช่วยให้นักลงทุนไม่กังวลกับราคาหุ้นตัวนั้นที่เกิดความผันผวน เนื่องจากหากยังไม่ขายออกไปจากพอร์ตลงทุน ก็ยังจะได้รับเงินปันผลชดเชยเข้ามา นั่นทำให้โดยทั่วไป การซื้อและถือหุ้นปันผลไว้เป็นระยะเวลานานๆ อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลจะมีความสําคัญมาก เพราะทําให้นักลงทุนได้รับกระแสเงินสดจากการถือหุ้น ที่เรียกว่า “เงินปันผล”

นอกจากนี้ หุ้นปันผลยังมีจุดเด่นอีกประการคือ การหักภาษี ณ ที่จ่าย 10% ของเงินปันผล แม้ทุกครั้งที่นักลงทุนได้รับเงินปันผลไม่เต็มจำนวน เนื่องจากจะถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 10% อย่างไรก็ตาม เงินที่ถูกหักภาษีนี้สามารถนำไปขอคืนภาษีได้ นับว่าเป็นแหล่งสร้างกระแสเงินสดแบบ Passive income ได้ทางหนึ่งเช่นกัน

เกณฑ์ในการคัดเลือกหุ้นปันผล

การลงทุนในหุ้นปันผล นักลงทุนจำเป็นต้องศึกษาข้อมูล และสามารถประเมินแนวโน้มของกิจการของบริษัทดังกล่าวได้ด้วย เพราะท้ายที่สุดแล้วผลการดำเนินงานของบริษัทจะเป็นตัวกำหนดว่า ผู้ถือหุ้นจะไดัรับเงินปันผลเท่าไหร่ ? รวมถึงยังเป็นตัวกำหนดราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ด้วยเช่นกัน

โดยเกณฑ์ข้อแรกที่ใช้สำหรับพิจารณาเลือกหุ้นปันผล คือ จะต้องเป็นหุ้นที่มีการจ่ายปันผลอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่องมาโดยตลอด ที่ผ่านมามีหลายทฤษฎี กล่าวคือดูความสม่ำเสมอในการจ่ายปันผลอย่างน้อย 5 หรือ 10 ปี เป็นต้น

ทั้งนี้ ข้อมูลการจ่ายเงินปันผลของแต่ละบริษัทสามารถดูได้จากเว็บไซต์ของตลาดหลักทรัพย์ จากนั้นพิมพ์ชื่อย่อหุ้นที่สนใจ และเลือกหัวข้อข้อมูลสิทธิประโยชน์ซึ่งจะมีรายละเอียดย้อนหลัง ว่าหุ้นดังกล่าวมีนโยบายจ่ายเงินปันผลหรือไม่ จ่ายเป็นจำนวนเท่าใด และจ่ายในช่วงไหน

นอกจากนี้ นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลต่างๆ เพื่อประกอบการพิจารณาเพิ่มเติม เช่น ต้องรู้ว่าบริษัทที่ตัดสินใจเลือกลงทุนนั้น ประกอบการกิจการอะไร ควรมีความรู้ความเข้าใจในวัฏจักรของธุรกิจเหล่านี้ รวมถึงจำเป็นต้องรู้ว่าเงินปันผลที่บริษัทจ่ายให้มานั้น เป็นการจ่ายมาจากอะไร ? หรือจ่ายมาจากกำไรสุทธิของผลประกอบการหรือไม่ เช่น บางบริษัทมีการจ่ายปันผลสูงเป็นพิเศษหรือสูงกว่าปกติ แต่ไม่ได้มาจากผลการดำเนินงานทั่วไป กลับมาจาก “กำไรพิเศษ” ซึ่งอาจเป็นการจ่ายแค่ครั้งเดียวหรือรอบเดียว และกลับมาจ่ายปันผลในระดับต่ำ หรือไม่จ่ายเลย ถือว่าหุ้นดังกล่าวมีความเสี่ยงเพราะไม่มีความมั่นคงในระยะยาว

เกณฑ์อีกข้อที่ใช้คัดเลือกหุ้นปันผล คือ ต้องมีนโยบายการจ่ายปันผลต้องไม่น้อยกว่า 30 - 50% ของกำไรสุทธิ ส่วนเกณฑ์ถัดมาคือ ผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) ของบริษัทดังกล่าวควรมากกว่า 5% ต่อปี อีกทั้งเงินที่จ่ายปันผลต้องมาจากกำไรเติบโต ธุรกิจเติบโต บริษัทมีความแข็งแกร่ง และจ่ายปันผลในระดับที่เหมาะสม แม้ยอดขายหรือกำไรจะไม่เติบโตแบบก้าวกระโดดเหมือนบริษัทที่กำลังขยายธุรกิจ นั่นเป็นที่มาซึ่งหลายคนชอบตั้งให้เป็นนิยามของหุ้นปันผล คือ “หุ้นปันผลจะมีผลการดำเนินงานจะเติบโตในลักษณะค่อยเป็นค่อยไปไม่หวือหวา แต่ที่สำคัญจะไม่มีการขาดทุน” หรือนักลงทุนอาจจะกำหนดว่าเงินปันผลที่ได้รับจากการลงทุนในหุ้นบริษัทนี้ไม่ควรต่ำกว่าระดับอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลของตลาดหุ้นไทยในปีนั้นๆ บวกกับอัตราเงินเฟ้อ และบวกกับดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ของธนาคาร

จุดเด่นอีกประการ ที่ช่วยพิจารณาหุ้นปันผลได้ง่ายขึ้น นั่นคือ หุ้นปันผลที่ดีจะสามารถคาดการณ์แนวโน้มผลการดำเนินงานในอนาคตได้ง่าย วิธีการคือ นำตัวเลขประมาณการกำไรต่อหุ้น คูณกับนโยบายการจ่ายปันผล จะสามารถประมาณการการจ่ายเงินปันผลคร่าว ๆ ได้

เกณฑ์ถัดมา ที่หุ้นปันผล ควรมี นั่นคือ โครงสร้างทางการเงินเข็งแกร่ง มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานเป็นบวก ซึ่งเรื่องดังกล่าว นักลงทุนจำเป็นต้องดูย้อนหลังไปหลาย ๆ ปี เพราะกระแสเงินสดเป็นตัวชี้ว่ามีความสามารถในการจ่ายเงินปันผล ไม่เพียงเท่านี้ เกณฑ์อีกข้อที่ช่วยเพิ่มการคัดกรอง คือ อัตราหนี้สินควรอยู่ในระดับต่ำ ด้วยการดูหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) โดยเฉพาะหนี้สินระยะสั้น หากบริษัทใดมีอยู่เป็นจำนวนมากอาจทำให้ความสามารถในการจ่ายเงินปันผลลดลง

จากนั้น ควรพิจารณาถึง สภาพคล่องสูงของหุ้น เนื่องจากที่ผ่านมา สัญญาณที่เด่นชัดอีกประการของหุ้นปันผล คือ มักมีสภาพคล่องไม่ค่อยสูง เพราะนักลงทุนซื้อเพื่อลงทุนระยะยาว ดังนั้น ควรหาหุ้นปันผลที่มีมาร์เก็ตแคป (Market cap.) ใหญ่พอสมควร เพราะสะดวกในการเปลี่ยนถ่าย ขณะเดียวกันหากเป็นหุ้นปันผลมาร์เกตแคปต่ำ ก็ควรเลือกหุ้นที่มีการกระจายการถือหุ้นโดยผู้ถือหุ้นรายย่อย (Free Float) มากกว่าเกณฑ์ที่ตลาดหลักทรัพย์ ฯ กำหนด นั่นคือ มากกว่า 15%

นอกจากนี้ ที่ผ่านมา มีนักลงทุนบางกลุ่มเลือกพิจารณาหุ้นปันผลจาก SETHD (SET High Dividend 30 Index) ซึ่งเป็นดัชนีที่รวบรวมหุ้น 30 บริษัท ที่มีอัตราการจ่ายปันผลสูง ๆ ต่อเนื่องอย่างน้อย 3 ปี และมีสภาพคล่องที่ดี

รูปแบบการจ่ายปันผล

การจ่ายปันผล สามารถแบ่ง ออกได้เป็น 2 รูปแบบ ได้แก่ 1.การจ่ายเป็นเงินผล และ 2. การจ่ายปันผลเป็นหุ้น ซึ่งโดยทั่วไปบริษัทจดทะเบียนจะเลือกใช้วิธีจ่ายปันผลแบบวิธีหนึ่งวิธีใด แต่ก็มีบางกรณีที่บริษัทใช้วิธีการจ่ายปันผลทั้ง 2 รูปแบบในคราวเดียวกัน

1.การจ่ายเป็นเงินปันผล : โดยทั่วไปบริษัทที่เลือกใช้วิธีดังกล่าว จะเป็นบริษัทใหญ่ ที่ธุรกิจค่อนข้างจะอยู่ตัว และไม่ได้มีโครงการใหญ่ ๆ ที่จำเป็นต้องใช้เงินทุนจำนวนมาก จึงเลือกที่จะจ่ายจ่ายปันผลให้ผู้ถือหุ้นเป็นเงินสด

2.การจ่ายปันผลเป็นหุ้น : การจ่ายปันผลในรูปแบบนี้ จะเป็นการเพิ่มจำนวนหุ้นในบริษัท ขณะที่มูลค่ารวมของบริษัทยังคงไม่เปลี่ยนแปลง จึงส่งผลให้มูลค่าต่อหุ้นลดลง หรือที่เรียกว่า Dilution effect อย่างไรก็ตาม แม้ในด้านมูลค่าของหุ้นจะลดลง แต่นักลงทุนก็จะได้รับการชดเชยด้วยจำนวนหุ้นที่ได้รับเพิ่มขึ้น จึงทำให้มูลค่ารวมยังคงเท่าเดิม

ไม่เพียงเท่านี้ การจ่ายปันผลเป็นหุ้นนับได้ว่าเป็นการให้ทางเลือกกับผู้ถือหุ้น โดยผู้ถือหุ้นสามารถที่จะเลือกได้ว่า จะเก็บหุ้นดังกล่าวไว้เพื่อรอให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นไปตามการเจริญเติบโตของบริษัท หรือจะนำหุ้นปันผลไปขายเพื่อรับเป็นเงินสดก็ได้

ช่วงเวลาเลือกลงทุนหุ้นปันผล

โดยทั่วไปราคาหุ้นปันผลจะมีปรับตัวลงในวันที่หุ้นขึ้นเครื่องหมาย XD เนื่องจากนักลงทุนขายทำกำไรหลังรับเงินปันผลไปแล้ว ถือเป็นสิ่งสำคัญที่นักลงทุนควรระมัดระวัง เพราะเหตุการณ์ดังกล่าวจะนำไปสู่การลงทุนได้ 2 รูปแบบ กล่าวคือ สำหรับการลงทุนเพื่อเก็งกำไรระยะสั้น นักลงทุนต้องพิจารณาว่า เงินปันผลที่ได้รับนั้นสามารถชดเชยกับราคาหุ้นที่ปรับตัวลงได้มากน้อยเพียงใด

ขณะที่การลงทุนระยะยาว หากนักลงทุนสามารถประเมินแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจบริษัทดังกล่าวได้ ก็จะสามารถพิจารณาเข้าลงทุนหุ้นดังกล่าวในช่วงที่ราคาหุ้นปรับตัวลงมาหลังขึ้นเครื่องหมาย XD ได้เช่นกัน เนื่องจากสามารถเก็งกำไรโดยการเข้าสะสมและรอราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกครั้ง เพราะโดยทั่วไปราคาหุ้นจะปรับตัวขึ้นมาอยู่ในระดับเดิมหลังระยะเวลาจ่ายเงินปันผลแล้ว

ทั้งนี้ เพราะในแง่ของราคาหุ้นในตลาดกับการจ่ายปันผล ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายปันผลเป็นเงิน หรือเป็นหุ้น ในช่วงใกล้ประกาศจ่ายเงินปันผลจนก่อนถึงวัน XD ราคาหุ้นมักจะปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากจะมีนักลงทุนที่เข้าสะสมเพื่อต้องการรับปันผล และจากนั้นราคาหุ้นมักจะปรับลดลงตามมูลค่าของการปันผลนับจากวัน XD เพราะผู้ถือหุ้นได้รับสิทธิในการรับเงินปันผลไปแล้ว นั่นหมายความว่า ราคาหุ้นหลัง XD จะสะท้อนถึงมูลค่าที่แท้จริงของหุ้นหลังการจ่ายปันผลแล้ว

ขณะเดียวกัน ที่ผ่านมายังมีนักลงทุนบางกลุ่มเลือกลงทุนโดยให้น้ำหนักต่อหุ้นปันผลเป็นพิเศษ โดยใช้กลยุทธ์ลงทุนแบบระยะยาว เพื่อหวังที่จะได้รับผลตอบแทนเล็ก ๆ จากเงินจ่ายปันผล ให้เป็นไปแบบเก็บสะสมผลตอบแทนดังกล่าวไปเรื่อย ๆ เพราะเน้นการเติบโตด้วยมูลค่า

อย่างไรก็ตาม พบว่า ที่ผ่านมานักลงทุนหลายคน เข้าสะสมหุ้นปันผลก่อนวันจ่ายปันผลสัก 2-3 วัน เพราะคิดว่าซื้อหุ้นและถือหุ้น เพียงไม่กี่วันก็ได้เงินปันผลแล้ว ในความจริงความคิดดังกล่าวถือว่า “ผิด” เพราะเมื่อถึงวันที่ขึ้นเครื่องหมาย XD ราคาหุ้นมักจะร่วงลง เนื่องจากราคาหุ้นสะท้อนด้วยการหักเงินปันผลออกไป

ดังนั้น ช่วงที่เหมาะสมในการสะสมหุ้นปันผลควรเป็นช่วง 1 - 2 เดือนก่อนบริษัทจะประกาศขึ้นเครื่องหมาย XD อาทิเช่น โดยปกติจะเริ่มทยอยประกาศในช่วงเดือนมีนาคม - เมษายน ดังนั้น ช่วงเดือนมกราคม ถึงต้นกุมภาพันธ์ เป็นจังหวะที่ดีในการซื้อหุ้นปันผล

ขณะที่เวลาที่ไม่เหมาะสมในการซื้อหุ้นปันผล คือช่วงใกล้ ๆ ประกาศเครื่องหมาย XD เช่น 1 สัปดาห์ หรือ 1 - 2 วัน เพราะในช่วงนี้นักลงทุนส่วนใหญ่จะเข้ามาสะสมหุ้นปันผลอย่างหนาแน่น ทำให้ราคาหุ้นปรับขึ้นอย่างรวดเร็ว ดังนั้นยิ่งซื้อหุ้นปรับตัวขึ้นสูง ๆ อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลก็จะน้อยลงไปด้วย




กำลังโหลดความคิดเห็น