xs
xsm
sm
md
lg

ธปท.เปิดรายงาน กนง. ระบุรัฐและเอกชนต้องร่วมมือประสานเชิงนโยบายเพื่อหนุน ศก.ฟื้นตัว

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ธปท. เปิดรายงาน กนง. ระบุรัฐและเอกชนต้องร่วมมือประสานเชิงนโยบายเพื่อหนุน ศก.ฟื้นตัว และแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง เนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังต้องเผชิญต่อปัญหาเชิงโครงสร้างที่กระทบต่อความสามารถในการแข่งขันและแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจในอนาคต ซึ่งต้องได้รับการแก้ไขอย่างจริงจังจากทุกภาคส่วน

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยรายงานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ครั้งที่ 5/2562 เมื่อวันที่ 7 ส.ค.2562 ซึ่งคณะกรรมการฯ มติ 5 ต่อ 2 เสียงให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี จาก 1.75% เป็น 1.50% ต่อปี ขณะที่กรรมการ 2 ท่านเห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.75% ต่อปี

คณะกรรมการฯ ได้อภิปรายอย่างกว้างขวางถึงความจำเป็นในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในครั้งนี้เป็น 1.50% ต่อปี โดยกรรมการส่วนใหญ่เห็นว่านโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้นจะมีส่วนช่วยสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจ และเอื้อให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปกลับสู่กรอบเป้าหมายท่ามกลางความไม่แน่นอนที่เพิ่มสูงขึ้นจากปัจจัยต่างประเทศเป็นสำคัญ เพื่อให้ทั้งภาครัฐและเอกชนได้มีเวลาปรับตัวเพื่อรับมือต่อวัฏจักรเศรษฐกิจที่อยู่ในช่วงขาลง ทั้งการเร่งปรับโครงสร้างหนี้ของภาคครัวเรือนและการปรับตัวเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจ ขณะที่การใช้จ่ายภาครัฐอาจช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจได้ไม่เต็มที่เนื่องจากข้อจำกัดด้านการเบิกจ่ายและความล่าช้าของการประกาศใช้ พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2563

นอกจากนี้ กรรมการส่วนใหญ่เห็นว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในครั้งนี้จะช่วยลดแรงกดดันต่อค่าเงินบาทได้ในระดับหนึ่ง และช่วยลดความจำเป็นที่จะต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในขนาดที่มากขึ้นในอนาคต หากเศรษฐกิจไทยชะลอตัวมากกว่าที่คาดตามสภาวะเศรษฐกิจโลก

ขณะที่กรรมการ 2 ท่านเห็นว่า การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในภาวะที่นโยบายการเงินอยู่ในระดับที่ผ่อนคลายอยู่แล้ว อาจไม่สามารถช่วยสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจเพิ่มได้มากนัก เมื่อเทียบกับความเสี่ยงด้านเสถียรภาพระบบการเงินที่อาจเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอาจช่วยชดเชยผลกระทบด้านลบที่มาจากปัจจัยด้านต่างประเทศได้จำกัด ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยไม่ใช่ข้อจำกัดที่สำคัญของการลงทุนภาคเอกชนในปัจจุบัน รวมทั้งยังมีความจำเป็นที่ต้องรักษาขีดความสามารถในการดำเนินนโยบายการเงิน (policy space) เพื่อรองรับความเสี่ยงในอนาคต

นอกจากนี้ กรรมการฯ เห็นถึงความจำเป็นในการประสานเชิงนโยบายและส่งเสริมความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนในการสนับสนุนการฟื้นตัวและการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ เนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังต้องเผชิญต่อปัญหาเชิงโครงสร้างที่กระทบต่อความสามารถในการแข่งขันและแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจในอนาคต ซึ่งต้องได้รับการแก้ไขอย่างจริงจังจากทุกภาคส่วน

โดยคณะกรรมการฯ จะติดตามพัฒนาการของการขยายตัวทางเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อ และเสถียรภาพระบบการเงิน รวมทั้งปัจจัยเสี่ยงต่างๆ โดยเฉพาะผลกระทบของสภาวะการกีดกันทางการค้าระหว่างประเทศอย่างใกล้ชิด เพื่อประกอบการดำเนินนโยบายการเงินที่เหมาะสมในระยะต่อไป


กำลังโหลดความคิดเห็น