ความหวั่นวิตกสงครามการค้า กลายเป็นสงครามค่าเงิน กดดันสินทรัพย์เสี่ยงทรุดตัว หนุน “ทองคำ”ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยปรับตัวเพิ่ม เตือนเริ่มเห็นแรงเทขายทำกำไร แนะไม่ควรไล่ซื้อในช่วงราคาปรับขึ้น แต่ควรแบ่งออกขายทำกำไรและรอการอ่อนตัวลง
“วรุต รุ่งขำ” ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ วายแอลจี บูลเลียน แอนด์ ฟิวเจอร์ส กล่าวถึงทิศทางราคาทองคำว่า ที่ผ่านมา ทิศทางราคาทองคำค่อนข้างสดใส โดยระหว่างสัปดาห์ราคามีการทะยานขึ้นแตะระดับสูงสุดเข้าใกล้โซน 1,500 เหรียญ เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 6 ปี เนื่องจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 2 ปี
ขณะที่ความผันผวนของตลาดเงินและตลาดทุนมีความผันผวนหรือมีการปรับฐานอ่อนตัวลง หลังจากนักลงทุนวิตกกังวลต่อสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนเริ่มขยายวงกว้างไปเป็นสงครามค่าเงิน สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยมีการทะยานขึ้นอย่างชัดเจน
นอกจากนี้ ธนาคารกลางของจีนมีการปล่อยให้ค่าเงินหยวนอ่อนค่าร่วงลงต่ำกว่าระดับ 7 หยวนต่อดอลลาร์ ซึ่งการอ่อนค่าของค่าเงินหยวนหลุดในระดับดังกล่าวส่งผลให้นักลงทุนมีการประเมินว่าจีนมีการใช้กลยุทธ์ในส่วนของการทำให้ค่าเงินหยวนอ่อนค่าลง จนเป็นมาตรการส่วนหนึ่งของการตอบโต้สหรัฐฯ หลังจากเมื่อช่วงที่ผ่านมา สหรัฐฯ ขู่ว่าจะจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าและบริการจากจีน
“แนวโน้มหรือสถานการณ์ดังกล่าวถือเป็นปัจจัยตัวหนึ่งที่ส่งผลเชิงบวกต่อราคาทองคำอย่างชัดเจน ปัจจัยที่ยังคงต้องจับตา ยังคงต้องจับตาดูนโยบายการเงินและการกำหนดค่าเงินของธนาคารกลางจีน ซึ่งหากธนาคารกลางจีนยังคงกำหนดค่าเงินหยวนให้มีการอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง ความวิตกกังวลต่อการใช้การอ่อนค่าของค่าเงินหยวนเป็นอาวุธ หรือให้มีการอ่อนค่าอย่างมากในการทำสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ อาจจะเป็นปัจจัยตัวหนึ่งที่กลับเข้าไปกดดันของตัวสินทรัพย์เสี่ยงหรือตลาดหุ้นทั่วโลก ดังนั้น แนวโน้มหรือสถานการณ์ดังกล่าวเป็นปัจจัยตัวหนึ่งที่กลับมากระตุ้นทองคำ”
อย่างไรก็ตาม ถ้าเงินหยวนมีเสถียรภาพมากขึ้น ทิศทางตลาดหุ้นเริ่มฟื้นตัวหรือรีบาวนด์ขึ้นก็อาจจะเป็นปัจจัยตัวหนึ่งที่กลับเข้ามากดดันหรือสร้างแรงขายให้แก่ตัวทองคำได้เช่นกัน นอกจากนี้ แนะนำให้จับตาสถานการณ์ทางการเมืองของอิตาลี หลังจากรัฐบาลผสมของอิตาลีไม่สามารถร่วมมือกันได้ และออกมาส่งสัญญาณว่าจะมีการจัดการเลือกตั้งใหม่ แนวโน้มหรือสถานการณ์ดังกล่าวจะมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น จนอาจจะมีการลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาลและการลาออกของนายกรัฐมนตรี ซึ่งความผันผวนของการเมืองอิตาลียังถือว่าเป็นปัจจัยตัวหนึ่งที่กลับเข้ามาส่งผลเชิงลบต่อทิศทางสกุลเงินยูโรและราคาทองคำ
ขณะเดียวกัน ยังแนะนำให้จับตาสถานการณ์การ Brexit ของอังกฤษ ซึ่งในส่วนของเจ้าหน้าที่ระดับสูงมีการออกมาส่งสัญญาณว่านายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีคนใหม่จะมีการจัดการเลือกตั้งหลังจากการที่อังกฤษมีการถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรปในวันที่ 31 ตุลาคม สถานการณ์ดังกล่าวกลับมากดดันสกุลเงินปอนด์และส่งผลเชิงลบต่อทิศทางราคาทองคำเช่นกัน
ทำให้กลยุทธ์การลงทุนช่วงนี้ หลังจากทองคำทะยานขึ้นอย่างมาก เริ่มเห็นแรงขายทำกำไรสลับออกมาแต่แรงขายยังไม่มากนัก ขณะที่แรงซื้อหรือการดันให้ราคาขยับขึ้นต่อเริ่มชะลอตัว ทั้งนี้ ประเมินว่าราคาทองคำอาจจะมีการเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบเพื่อเป็นลักษณะของการพักฐานหรือสะสมกำลังให้จับตาดูในส่วนของแนวต้านระดับ 1,511-1,521 เหรียญ หากราคายังสามารถขยับขึ้นชนระดับดังกล่าว ยังคงแนะนำให้แบ่งทองคำออกขายและรอการอ่อนตัวหรือปรับฐานของราคาจึงทำการเข้าซื้อใหม่โดยให้โซนแนวรับระดับ 1,472 เหรียญ เป็นจุดเสี่ยงแรก และจุดเสี่ยงถัดไปจะอยู่ที่บริเวณ 1,456 เหรียญ อย่างไรก็ตามยังคงเน้นการทำกำไรระยะสั้นจากการแกว่งตัวอยู่ในกรอบ โดยไม่แนะนำให้นักลงทุนไล่ซื้อทองคำ เนื่องจากช่วงที่ผ่านมา ราคาขยับหรือปรับตัวขึ้นค่อนข้างมาก ดังนั้น นักลงทุนควรวางแผนการลงทุนอย่างรอบคอบและปรับสถานะการลงทุนตามความเคลื่อนไหวของราคาทองคำอีกครั้ง