จากกรณีการผิดนัดชำระหนี้ของ บมจ.เอ็นเนอร์ยี่ เอิร์ธ หรือ EARTH และ บมจ.อินเตอร์ ฟาร์อีสท์ เอ็นเนอร์ยี่ คอร์ปอเรชั่น หรือ IFEC จนกลายเป็นมหากาพย์ที่ไม่ยอมจบง่ายๆ หรือมีเรื่องราวพัวพันกันยาวนานมา และเมื่อไม่นานมานี้เองก็เกิดประเด็นร้อนขึ้นมาทันที หลังจากเช้าวันที่ 31 ก.ค. 2562 เวลา 09.37 น. ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ประกาศขึ้นเครื่องหมาย H (Trading Halt) ห้ามซื้อขายหลักทรัพย์จดทะเบียนเป็นการชั่วคราว โดยแต่ละครั้งมีระยะเวลาไม่เกินกว่าหนึ่งรอบการซื้อขายกับหลักทรัพย์ของ บริษัท พีพี ไพร์ม จำกัด (มหาชน) หรือ PPPM สำหรับการซื้อขายในรอบเช้าของวันที่ 31 กรกฎาคม 2562
ตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้เหตุผลว่า PPPM ยังไม่ได้ชี้แจงผลกระทบต่อฐานะการเงินและการดำเนินงานรวมทั้งข้อมูลอื่นๆ ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ สอบถาม เนื่องจากเป็นข้อมูลสำคัญที่กระทบต่อการตัดสินใจลงทุนในหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงได้สั่งพักการซื้อขาย โดยขึ้นเครื่องหมาย "SP" หลักทรัพย์ PPPM ตั้งแต่รอบบ่ายของวันที่ 31 กรกฎาคม 2562 เป็นต้นไป จนกว่าบริษัทจะชี้แจงข้อมูลดังกล่าว
เนื่องจากในช่วงเช้าของวันที่ 31 ก.ค. 2562 เวลา 06.39 น. ทาง PPPM ส่งหนังสือแจ้ง “เหตุการณ์ผิดนัดหุ้นกู้ตามมาตรา 57 (6)" ลงนามโดย พลเอก เชาวฤทธิ์ ประภาจิตร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ร่วม) PPPM โดยมีเนื้อหาสาระสำคัญที่น่าสนใจคือ บมจ.พีพี ไพร์ม (เดิมชื่อ บมจ.ไทยลักซ์ เอ็นเตอร์ไพรส์ หรือ TLUXE ได้ออกหุ้นกู้ ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน และประเภทไม่ด้อยสิทธิ มีหลักประกัน ซึ่งมีทั้งไม่มีผู้แทน ผู้ถือหุ้นกู้ และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ แต่จากผลกระทบจากการผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ตามลำดับที่ 1 จำนวน 260.50 ล้านบาท (ไม่รวมดอกเบี้ย) อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 6.25 ต่อปี
ส่วนลำดับที่ 2 จำนวน 319.50 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 7.25 ต่อปี ส่วนลำดับที่ 3 จำนวน 134 ล้านบาท โดยมีอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 7.25 ต่อปี ส่วนลำดับที่ 4 จำนวน 200 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 7.00 ต่อปี ส่วนลำดับที่ 5 จำนวน 207.60 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 8.50 ต่อปี ซึ่งจำนวนหุ้นกู้ทั้ง 5 ลำดับนั้นยังไม่รวมดอกเบี้ย และมีธนาคาร ไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เป็นนายทะเบียนหุ้นกู้และผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ โดยเฉพาะฉบับที่ 5 เท่านั้นที่มีบริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ ซึ่งลำดับที่ 3 จำนวน 134.00 ล้านบาท ครบกำหนดไถ่ถอนวันที่ 3 กันยายน 2562 ลำดับที่ 4 จำนวน 200.00 ล้านบาท ครบกำหนดไถ่ถอนวันที่ 8 พฤษภาคม 2563 และลำดับที่ 5 จำนวน 207.60 ล้านบาทครบกำหนดไถ่ถอนวันที่ 18 มีนาคม 2564
ทั้งนี้ หุ้นกู้ลำดับที่ 1 จำนวน 260.50 ล้านบาท จะครบกำหนดไถ่ถอนวันที่ 27 ก.ค.62 และชำระหนี้ต้นเงินและดอกเบี้ยวันที่ 2 ส.ค. 62 ส่วนหุ้นกู้ลำดับที่ 2 จำนวน 319.50 ล้านบาท จะครบกำหนดไถ่ถอนวันที่ 2 ส.ค. 62 และชำระหนี้ต้นเงินและดอกเบี้ยวันที่ 7 สิงหาคม 2562 โดยตามสัญญาครบกำหนด วันที่เริ่มผิดนัดชำระหนี้คือวันที่ 27 กรกฎาคม 2562 สำหรับหุ้นกู้ลำดับที่ 1 และวันที่ 30 ก.ค. 62 สำหรับหุ้นกู้ลำดับที่ 2 โดยมีเงื่อนไขสัญญาว่าหากถึงกำหนดเวลาชำระหนี้จะต้องชำระทันที
แต่ทาง PPPM กลับชี้แจงข้อโต้แย้งถึงการผิดนัดชำระหนี้ว่าการผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ตามลำดับที่ 1 และลำดับที่ 2 จำนวนดังกล่าว เป็นเหตุให้หุ้นกู้คงค้างทั้งจำนวนของบริษัทผิดนัดชำระหนี้ ซึ่งเป็นไปตามข้อกำหนดสิทธิของหุ้นกู้ที่ได้กำหนดไว้ ในข้อ 10.1.3 เรื่อง การผิดนัดชำระหนี้เงิน โดยหากผู้ออกหุ้นกู้ผิดนัดไม่ชำระหนี้เงินใดๆ เมื่อหนี้นั้นถึงกำหนดชำระ หรือไม่ชำระหนี้เงินใดๆ ดังกล่าวภายในระยะเวลาที่เจ้าหนี้ผ่อนผันให้ตามที่ระบุไว้ในสัญญาที่เกี่ยวข้อง หรือหากว่าหนี้ตามมูลหนี้เงินใดๆ ถูกเจ้าหนี้เรียกให้ชำระคืนก่อนกำหนดเดิมตามสิทธิของเจ้าหนี้ที่ระบุไว้ในสัญญาที่เกี่ยวข้อง
ทั้งนี้ การผิดนัดชำระหนี้เงินหรือการที่หนี้เงินใดๆ ดังกล่าวข้างต้นถูกเรียกให้ถึงกำหนดชำระก่อนกำหนดเดิมจะต้องมีจำนวนเงินรวมกันเกินกว่า 400 ล้านบาท หรือเงินสกุลอื่นที่มีจำนวนเทียบเท่าทำให้เหตุแห่งการผิดนัดชำระหนี้ดังกล่าวข้างต้นเป็นเหตุการณ์ที่เป็นเงื่อนไขที่จะทำให้ผู้ถือหุ้นกู้ถือเป็นเหตุให้ผิดข้อตกลงตามข้อกำหนดว่าด้วยสิทธิและหน้าที่ของผู้ออกหุ้นกู้และผู้ถือหุ้นกู้ (events of default) ซึ่งบริษัทยังคงกำหนดชำระดอกเบี้ยหุ้นกู้ตามงวดชำระดอกเบี้ยในหุ้นกู้ลำดับที่ 3 ถึงลำดับที่ 5 และยังไม่ได้ผิดนัดชำระหนี้แต่อย่างใด
นอกจากนี้ คณะกรรมการบริษัทลงมติในการแจ้งปัญหาการชำระหนี้หุ้นกู้ให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ รวมทั้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ทราบ โดยจะขออนุมัติให้บริษัทดำเนินการเจรจาและจัดทำแผนการปรับปรุงโครงสร้างกิจการและปรับโครงสร้างทางการเงินและภาระหนี้ที่มีอยู่ของบริษัทให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมอบอำนาจให้ผู้แทนของบริษัทในการเจรจาและทำความตกลงต่างๆ กับกลุ่มธนาคาร ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ ผู้ถือหุ้นกู้ และเจ้าหนี้ เกี่ยวกับการปรับปรุงโครงสร้างทางการเงินและการบริหารจัดการหนี้ของบริษัท ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดๆ ก็ตามรวมถึงการเจรจาต่อรองการเข้าทำสัญญาต่างๆ หรือการดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมายต่างๆ ที่จำเป็น เพื่อวัตถุประสงค์ในการปรับปรุงโครงสร้างทางการเงินและการบริหารจัดการหนี้ของบริษัท
พร้อมทั้งได้อนุมัติแต่งตั้ง บริษัท ฟีนิกซ์ แอดไวซอรี่ เซอร์วิสเซส จำกัด เป็นที่ปรึกษาในการจัดทำแผนการขยายระยะเวลาการชำระหนี้ของหุ้นกู้ทั้งหมดของบริษัท รวมทั้งทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและที่ปรึกษากฎหมายในการแก้ไขปัญหาการชำระหนี้หุ้นกู้ของบริษัทโดยรวมทั้งหมด และประเมินว่าจะสามารถแก้ไขปัญหา และรายงานให้ ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์ฯ รับทราบได้ภายในวันที่ 31 สิงหาคม 2562
และจากคำชี้แจงข้างต้นของ PPPM ที่แจ้งมายังตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งยังไม่ได้ชี้แจงผลกระทบต่อฐานการเงินและการดำเนินงานรวมทั้งข้อมูลอื่นๆ ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ สอบถาม เนื่องจากเป็นข้อมูลสำคัญที่กระทบต่อการตัดสินใจลงทุนในหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงยังคงหยุดพักการซื้อขาย โดยขึ้นเครื่องหมาย "SP" หลักทรัพย์ PPPM ตั้งแต่รอบบ่ายของวันที่ 31 ก.ค. 62 เป็นต้นไป จนกว่าบริษัทจะชี้แจงข้อมูลดังกล่าว
อย่างไรก็ดี เมื่อช่วงเที่ยงของวันที่ 2 ส.ค. 62 PPPM ได้ส่งหนังสือชี้แจงเพิ่มเติมการชำระหนี้หุ้นกู้มายัง ตลท. ซึ่งมีสาระสำคัญคือ PPPM ได้ออกหุ้นกู้รวมทั้งหมด 5 ครั้ง โดยหุ้นกู้ลำดับที่ 1 จำนวน 260.50 ล้านบาท เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2562 นายทะเบียนหุ้นกู้ได้ชำระหนี้ให้แก่ผู้ถือหุ้นกู้ไปบางส่วน คือธนาคารไทยพาณิชย์ เป็นเงิน 216.8 ล้านบาท ซึ่งบริษัทจะได้เข้าไปเจรจาชำระหนี้คืนให้แก่ธนาคารโดยเร่งด่วน ส่วนหุ้นกู้ส่วนที่เหลือ 43.7 ล้านบาท บริษัทจะชำระดอกเบี้ย และต้นเงินให้แก่ผู้ถือหุ้นกู้ทุกราย ภายในวันที่ 2 ส.ค. 62 ณ สำนักงานบริษัท ฟีนิกซ์ แอดไวซอรี่ เซอร์วิสเซส จำกัด โดยเงินชำระหนี้ดังกล่าวมาจากการเพิ่มทุน
ขณะที่หุ้นกู้ลำดับที่ 2 จำนวน 319.50 ล้านบาท ที่ครบกำหนดไถ่ถอน 2 ส.ค. 62 บริษัทจะชำระหนี้ต้นเงินและดอกเบี้ยภายใน 5 วัน นับแต่วันครบกำหนดไถ่ถอน คือ 7 ส.ค. 62 ซึ่งเป็นไปตามข้อกำหนดสิทธิและหน้าที่ของผู้ออกหุ้นกู้และผู้ถือหุ้นกู้ โดยเงินที่มาชำระดังกล่าวจะมาจากการขายหลักทรัพย์เพื่อค้าและเงินทุนหมุนเวียนของกิจการตลอดจนเงินจากการเพิ่มทุน
อย่างไรก็ตาม ผู้บริหาร PPPM ยังยืนกรานว่าแม้บริษัทมีหนี้เงินกู้ระยะสั้นและระยะยาวรวมเป็นเงินกว่า 927 ล้านบาท แต่เมื่อบริษัทยังมิได้มีการผิดนัดชำระหนี้ดังกล่าวข้างต้น ดังนั้น ภาระหนี้ดังกล่าวไม่มีผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของบริษัทเช่นกัน และไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัท ซึ่งจะยังคงประกอบธุรกิจอาหารสัตว์และธุรกิจพลังงานความร้อนใต้พิภพประเทศญี่ปุ่นรวมทั้งหมด 15 ยูนิตได้ตามปกติ และในปัจจุบันก็ยังไม่ได้ดำเนินการจำหน่ายออกไป
และผลจากการส่งหนังสือแจ้งการชำระหนี้หุ้นกู้มายังตลาดหลักทรัพย์ฯ ของ PPPM ในช่วงเที่ยง ส่งผลให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ปลด "SP" หลักทรัพย์ของ PPPM ในช่วงบ่ายของวันเดียวกัน แต่ยังคงขอให้ผู้ลงทุนศึกษาข้อมูลด้วยความรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน
ดังนั้น จึงเสมือนว่าทุกอย่างจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ หุ้น PPPM สามารถกลับมาซื้อขายได้เช่นเดิม แต่แล้ว เมื่อนายสารัชต์ รัตนาภรณ์ ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ ในฐานะนายทะเบียนหุ้น ออกมาเปิดเผยว่า ทางธนาคารได้ทำการขอเรียกคืนเงินจากผู้ถือหุ้นกู้ บมจ.พี พี ไพร์ม หรือ PPPM หลังจากที่ทราบว่ามีการโอนเงินเข้าบัญชีผู้ถือหุ้นกู้บางส่วน จากจำนวน 216.8 ล้านบาท ซึ่งจากที่ได้ทำการตรวจสอบดูแล้ว พบว่าเกิดจากความผิดพลาดของระบบที่ได้ทำการตัดยอดชำระเงินของธนาคารไทยพาณิชย์ออกไป ไม่ได้เกิดจากการที่ PPPM นำเงินมาเข้าบัญชีกับธนาคาร เพื่อชำระหุ้นกู้ตามกรอบระยะที่กำหนดในการจ่ายคืนผู้ถือหุ้นกู้ โดยเงินที่โอนเข้าบัญชีเงินฝากของผู้ถือหุ้นกู้ไปนั้น เป็นการตัดเงินของธนาคารจากระบบด้วยความผิดพลาด และได้ทำการเรียกคืนเงิน ซึ่งเป็นเงินระบบบาทเน็ต
ต่อมาวันที่ 5 สิงหาคม ก่อนตลาดหุ้นเปิดทำการเวลา 09.02 น. ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ประกาศขึ้นเครื่องหมาย "H" หลักทรัพย์ของ PPPM และให้ชี้แจงข้อมูลเพิ่มเติมกรณีนายทะเบียนหุ้นกู้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่าข้อมูลที่บริษัทเปิดเผยว่ามีการชำระหนี้หุ้นกู้โดยนายทะเบียนหุ้นกู้นั้น ไม่เป็นความจริง ซึ่งเป็นข้อมูลที่มีนัยสำคัญ และอาจมีผลกระทบต่อฐานะการเงินและผลการดำเนินงานของบริษัท และบ่ายวันเดียวกันนี้ในเวลา 13.31 น. ตลท.ได้ประกาศขึ้นเครื่องหมาย “SP” ต่อเนื่องตั้งแต่รอบบ่ายของวันที่ 5 สิงหาคม 2562 เป็นต้นไป จนกว่าบริษัทจะชี้แจงข้อมูลดังกล่าว
จนกระทั่งวันที่ 8 ส.ค. PPPM ได้ส่งหนังสือแจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ถึงข้อเท็จจริงการชำระหนี้หุ้นกู้ครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 ว่า จากเหตุการณ์ที่ธนาคารไทยพาณิชย์ ในฐานะนายทะเบียนหุ้นกู้ ได้โอนเงิน และออกเช็คให้แก่ผู้ถือหุ้นกู้ที่ครบกำหนดไถ่ถอนไปบางส่วนในวันที่ 30 ก.ค.62 และจากการประชุมกับธนาคารในช่วงเวลาบ่ายของวันที่ 31 ก.ค. 62 ยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าเป็นการตัดเงินของธนาคารจากระบบด้วยความผิดพลาด
ดังนั้น ตามหนังสือที่อ้างถึงลำดับที่ 1 เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2562 บริษัทได้เข้าใจโดยสำคัญผิดและแจ้งไปว่า “เมื่อวันที่ 30 ก.ค. 62 นายทะเบียนหุ้นได้ชำระหนี้ให้กับผู้ถือหุ้นกู้” แต่เมื่อวันที่ 2 ส.ค. 62 จากหนังสือฉบับที่อ้างถึงลำดับที่ 2 ของนายทะเบียนหุ้นดังกล่าว บริษัททราบว่า
“การชำระหนี้หุ้นกู้ลำดับที่ 1 เมื่อวันที่ 30 ก.ค. 62 นายทะเบียนหุ้นกู้ได้โอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของผู้ถือหุ้นกู้ไปเป็นการตัดเงินของธนาคารจากระบบด้วยความผิดพลาดให้กับผู้ถือหุ้นกู้ไปเป็นเงิน 216.8 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทยังไม่ทันได้นำเงินฝากเข้าบัญชีเพื่อชำระหนี้ไถ่ถอนหุ้นกู้”
ต่อมาเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2562 ผู้บริหารของ PPPM และผู้บริหารของธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ในฐานะนายทะเบียนหุ้นกู้ได้ประชุมร่วมกันแล้ว ทำให้บริษัทรับทราบตามข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้น ดังนั้น ในวันที่ 6 ส.ค. 62 คณะกรรมการ PPPM จึงได้มีมติให้ดำเนินการชำระเงินคืนให้นายทะเบียนหุ้นกู้ และบริษัทได้ดำเนินการคืนเงินด้วยวิธีการโอนเงินด้วยระบบบาทเน็ตแล้ว โดยเงินที่นำมาชำระดังกล่าวมาจากการเพิ่มทุน ซึ่งกำหนดวันจองซื้อและชำระค่าหุ้นเมื่อวันที่ 1-5 ก.ค. 62 จำนวนประมาณ 250 ล้านบาท และเงินทุนหมุนเวียนของบริษัท
ส่วนประเด็นผลกระทบต่อแผนการชำระหนี้หุ้นกู้ลำดับที่ 2 จำนวน 319.5 ล้านบาทนั้น โดยหุ้นกู้ครั้งที่ 2/2561 (TLUXE198A) จำนวน 319.50 ล้านบาท ที่ครบกำหนดไถ่ถอนในวันที่ 2 สิงหาคม 2562 บริษัท จะดำเนินการชำระหนี้ต้นเงินและดอกเบี้ยในวันที่ 7 สิงหาคม 2562 โดยเงินที่มาชำระดังกล่าวจะมาจาก การขายหลักทรัพย์เพื่อค้า, เงินทุนหมุนเวียนของกิจการและเงินจากการเพิ่มทุน แต่เนื่องจากบริษัทได้นำเงินจากการเพิ่มทุนไปชำระหุ้นกู้ลำดับที่ 1 ส่งผลให้บริษัทยังไม่สามารถขายหลักทรัพย์เพื่อค้าได้ ทำให้บริษัทไม่สามารถชำระหนี้ไถ่ถอนหุ้นกู้ลำดับที่ 2 จำนวน 319.5 ล้านบาทนั้นได้ และด้วยผลจากการที่บริษัทมีเงินกู้ที่มีกำหนดระยะเวลาการชำระหนี้คืนในหลายช่วงเวลา รวมทั้งแผนการเพิ่มทุนที่บริษัทได้วางแผนไว้ไม่สำเร็จตามแผน ทำให้การจัดการด้านการเงินของบริษัทในการชำระหนี้คืนดังกล่าวไม่เป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ทำให้บริษัทมีความจำเป็นที่จะต้องปรับปรุงโครงสร้างทางการเงิน และจากเหตุดังกล่าวคณะกรรมการบริษัทในการประชุมครั้งที่ 16/2562 เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2562 จึงมีมติแจ้งเหตุการณ์การผิดนัดไม่ชำระหนี้หุ้นกู้ ครั้งที่ 2/2561 จำนวน 319.5 ล้านบาท พร้อมทั้งมีมติกำหนดให้เรียกประชุมผู้ถือหุ้นกู้ในวันที่ 2 กันยายน 2562 เวลา 14.00 น. โดยจะกำหนดวันปิดสมุดทะเบียนวันที่ 19 สิงหาคม 2562 เวลา 12.00 น. จนกว่าจะประชุมผู้ถือหุ้นกู้แล้วเสร็จ
อย่างไรก็ตาม สำหรับภาระหนี้กับสถาบันการเงินของ PPPM ณ วันที่ 31 มีนาคม 2562 จำนวน 2 แห่งรวม 927 ล้าน บาทแบ่งเป็นหนี้สินระยะสั้นจำนวน 340 ล้านบาท (วงเงินทุนหมุนเวียน) และหนี้สินระยะยาว จำนวน 587 ล้านบาท ซึ่งหนี้สินระยะยาวดังกล่าวเป็นไปตามสัญญากู้เงินของสถาบันการเงิน ซึ่งมีข้อสัญญาในกรณีผิดนัดกำหนดให้เมื่อบริษัทมีหนี้สินอื่นใดไม่มีการชำระหนี้ที่ถึงกำหนด เป็นเหตุกรณีผิดนัด และด้วยบริษัทมีการผ่อนชำระหนี้ตามปกติกับสถาบันการเงินดังกล่าวมาโดยตลอด ทำให้บริษัทสามารถจะดำเนินการขอผ่อนผันเหตุการณ์ผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ดังกล่าวข้างต้นได้ โดยคณะกรรมการบริษัทได้มีมติมอบหมายให้ผู้บริหารของบริษัทและบริษัท ฟีนิกซ์ แอดไวซอรี่ เซอร์วิสเซส จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาด้านการจัดทำแผนหุ้นกู้ของบริษัท ดำเนินการขอยกเว้นเหตุการณ์ผิดนัดดังกล่าวกับสถาบันการเงินที่เป็นเจ้าหนี้ของบริษัท โดยจะรายงานผลการพิจารณาของสถาบันการเงินภายในทันทีที่ทราบผลการพิจารณา และบริษัทยังชำระหนี้ตามปกติ รวมทั้งยังไม่มีสถาบันการเงินเจ้าหนี้รายใดได้เรียกเงินชำระหนี้คืนก่อนกำหนด ส่วนสถาบันการเงินอีกแห่งหนึ่ง มิได้มีข้อกำหนดกรณีผิดนัดดังกล่าวแต่อย่างใด
และจากการที่ PPPM ได้นำส่งรายงานชี้แจงการชำระเงินคืนให้นายทะเบียนหุ้นกู้ลำดับที่ 1 จำนวน 216.80 ล้านบาท และอีก 43.70 ล้านบาท ได้มีการชำระหนี้หุ้นกู้ให้แก่ผู้ถือหุ้นกู้จำนวนรวม 40 ราย และจัดทำเป็นแคชเชียร์เช็คจำนวน 9 ราย ส่งผลให้ตลาดหุ้นได้ทำการปลดเครื่องหมาย “SP” หุ้น PPPM ได้กลับมาซื้อขายตามปกติ แต่อย่างไรก็ตาม ตลท.ยังคงแนะนำนักลงทุนควรพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนการตัดสินใจลงทุน หรือตัดสินใจใช้สิทธิใช้เสียงในฐานะผู้ถือหุ้นของบริษัท
จากที่กล่าวมาแล้วนั้น ปัญหาการจ่ายชำระคืนหนี้สินของบริษัทมหาชน ไม่ใช่เรื่องที่ต้องมองผ่านเลยเพราะนั่นหมายถึงการใช้เงินของผู้บริหาร อันเป็นเงินของผู้ถือหุ้น การระดมทุนเพื่อเหตุผลในการนำไปลงทุนขยายงาน ดังนั้น การบริหารเงินเพื่อลงทุนจำเป็นที่ต้องทำให้ทุนนั้นงอกงเงยออกดอกผลกลับมาบ้าง หากใช้เงินผิดทางและไม่มีขอบเขตหรือไม่ได้รับความเห็นชอบจากผู้ถือหุ้น ถือว่านั่นคือความเสียหายที่มิอาจละเลย บางผู้ถือหุ้นอาจคิดไม่เท่าทัน ขณะที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ และ ก.ล.ต.ถือเป็นหน่วยงานที่เป็นหูเป็นตาให้อย่างสำคัญ