xs
xsm
sm
md
lg

กูรูหุ้นชี้ "วิกฤตสงครามการค้า" เป็นโอกาสลงทุนหุ้นเทศ ชูเทคโนโลยีเมกะเทรนด์ผลตอบแทนเด่น

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

นายธำรงชัย เอกอมรวงศ์ นักลงทุนผู้มีประสบการณ์การลงทุนในตราสารทุนและตราสารอนุพันธ์
แม้ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ และจีนจะทวีความรุนแรงขึ้นต่อเนื่อง แต่มุมมองของนักลงทุนที่มีประสบการณ์ลงทุนในตลาดโลกมายาวนานอย่าง "ธำรงค์ชัย เอกอมรวงศ์" มองว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังมีความน่าสนใจในการลงทุน จากการที่มีหุ้นเติบโตในกลุ่มเทคโนโลยีและเมกะเทรนด์ จดทะเบียนให้เลือกลงทุนจำนวนมาก แนะลงทุนหุ้นที่ P/E ยังไม่สูง

นายธำรงชัย เอกอมรวงศ์ นักลงทุนผู้มีประสบการณ์การลงทุนมายาวนานกว่า 10 ปี ทั้งในตลาดหุ้นไทยและตลาดโลก เปิดเผยว่า แม้ผลกระทบจากสงครามการค้าที่ยกระดับกลายเป็นสงครามค่าเงินจะทำให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์หลักของสหรัฐฯ ทั้ง Dow Jones, S&P500 รวมถึง NASDAQ ปรับตัวลดลงหลังทั้ง 3 ตลาดสามารถสร้างจุดสูงสุดใหม่ (All Time High) ได้สำเร็จ แต่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงมีความน่าสนใจในการลงทุนอยู่ โดยเฉพาะหุ้นที่มีพื้นฐานดีและเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีในกลุ่มเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็น Facebook Google Netflix Amazon

"บริษัทเหล่านี้มีผลกำไรที่เติบโตได้ต่อเนื่องสามารถเลือกลงทุนเป็นรายตัวได้ หากราคาหุ้นปรับตัวลดลงจากภาพรวมของตลาด ทั้งนี้ ต้องพิจารณาเป็นรายตัวว่ามีบริษัทใดที่จะได้รับผลกระทบโดยตรงจากความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ และจีนหรือไม่ ทั้งด้านเทคโนโลยี รวมถึงค่าเงิน"

นอกจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่เป็นที่รู้จักกันอย่างดีแล้ว ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังเป็นแหล่งระดมทุนของหลากหลายอุตสาหกรรม ซึ่งมีโอกาสเติบโตสูงและยากที่จะลงทุนได้ผ่านตลาดอื่น เช่น ธุรกิจกัญชาในเชิงการแพทย์ อย่างเช่น Canopy Growth ก็สามารถลงทุนได้ผ่านตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ผ่านมาราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาแล้วหลาย 100 เปอร์เซ็นต์ รวมถึงธุรกิจทางด้านอาหารอย่างบริษัทบียอนด์ มีท (Beyond Meat) ที่สามารถผลิตโปรตีนอย่างเช่นเนื้อสัตว์ได้จากพืชผัก ล่าสุดเข้าจดทะเบียนในตลาด NASDAQ สร้างสถิติราคาเปิดตัวสูงถึง 163% ไม่นับบริษัทดีๆ จากจีนหรือทั่วโลกที่ต่างเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ นี่เป็นเสน่ห์ที่ตลาดอื่นยากที่จะทำได้ใกล้เคียง

“ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กและตลาด NASDAQ ซึ่งมีขนาดใหญ่อันดับ 1 และ 2 ของโลก มีมูลค่ารวมกันประมาณ 26,000 พันล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 40% ของตลาดหุ้นทั่วโลก เงินทั่วโลกจึงไหลเข้ามาลงทุนในตลาดนี้ และยังมีทางเลือกมากมายในกิจการชั้นดี แบรนด์เป็นที่รู้จักไปทั่วโลกและมีอัตราการเติบโตที่สูง”

ทั้งนี้ หลักเกณฑ์การเลือกหุ้นที่จะลงทุนต้องพิจารณาเป็นรายบริษัท เน้นหุ้นที่ค่า P/E ยังไม่สูงเกินค่าเฉลี่ยในอดีตมากนัก เพราะสำหรับหุ้น Growth Stock หากกำไรสุทธิเติบโตลดลง นักลงทุนจะเกิดความผิดหวังและเทขายออกมาอย่างหนัก อีกทั้งดัชนี Dow Jones, S&P500 รวมถึง NASDAQ ต่างสร้างสถิติสูงสุดใหม่ไปแล้ว ต้องจับตาดูต่อไปว่ามูลค่าเต็มแล้วหรือยังเติบโตต่อไปได้


กำลังโหลดความคิดเห็น