ภาพรวมการซื้อขายหุ้น ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2562 ดัชนี SET Index ปิดที่ 1,711.97 จุด ลดลง 1.1% จากสิ้นเดือนก่อน และเพิ่มขึ้น 9.5% จากสิ้นปี 2561 แนะจับตาความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอก ทั้งสงครามการค้า และความขัดแย้งระหว่างญี่ปุ่นกับเกาหลีใต้ และนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ
นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ในเดือนกรกฎาคมตลาดหลักทรัพย์ไทยได้รับผลบวกจากความเชื่อมั่นด้านเสถียรภาพทางการเมืองภายในประเทศที่ดีขึ้น สอดคล้องกับการปรับ outlook เป็นบวกของบริษัทจัดอันดับ rating ส่งผลให้ผู้ลงทุนต่างประเทศยังคงซื้อสุทธิอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี ควรจับตามองความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอก ได้แก่ สถานการณ์สงครามการค้าที่เริ่มมีสัญญาณของความขัดแย้งที่รุนแรงขึ้น ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างญี่ปุ่นกับเกาหลีใต้ ตลอดจนทิศทางการดำเนินนโยบายทางการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ
ทั้งนี้ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย (SET Index) ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2562 ปิดที่ 1,711.97 จุด ลดลง 1.1% จากสิ้นเดือนก่อน และเพิ่มขึ้น 9.5% จากสิ้นปี 2561 โดยกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มทรัพยากร และกลุ่มบริการให้ผลตอบแทนมากกว่า SET Index ซึ่งในเดือนกรกฎาคม 2562 ผู้ลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิในตลาดหลักทรัพย์ไทย 20,524 ล้านบาท โดยมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันรวมของ SET และ mai ในเดือนกรกฎาคม 2562 อยู่ที่ 64,050 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
นอกจากนี้ ส่วนของ Forward และ Historical P/E ของตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2562 อยู่ที่ระดับ 16.4 เท่า และ 18.5 เท่าตามลำดับ สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 14.6 เท่า และ 16.0 เท่าตามลำดับ ด้านอัตราเงินปันผลตอบแทน ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2562 อยู่ที่ระดับ 3.02% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของ MSCI Emerging Market ที่อยู่ที่ 2.89%
ขณะที่มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวมของ SET และ mai ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2562 อยู่ที่ 17.9 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.5% จากสิ้นปี 2561 ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางของดัชนี ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2562 มูลค่าการระดมทุนในตลาดแรก (IPO) ของไทยอยู่ที่ระดับ 14,131 ล้านบาท
ด้านภาวะตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ในเดือนกรกฎาคม 2562 ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้ามีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 509,534 สัญญา ซึ่งเพิ่มขึ้น 34% เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในช่วงครึ่งปีแรก