กรุงศรี คอนซูมเมอร์เตรียมออกดิจิทัล เลนดิ้ง เฟส 2 หลังมีการใช้ NDID พร้อมพัฒนา AI "MANOW" ใช้ในระบบ CallCenter มากขึ้น ส่วนกรณีหากแบงก์ชาติใช้เกณฑ์ DSR ในอัตรา 70% ประเมินกระทบลูกค้าใหม่ 15%
นายฐากร ปิยะพันธ์ ประธานกรรมการ กรุงศรีคอนซูมเมอร์ เปิดเผยว่า ในครึ่งปีหลังนี้ กรุงศรีคอนซูมเมอร์มีแผนที่จะเปิดให้บริการ Digital Lending เฟส 2 หลังจาก National Digital ID (NDID) ออกจาก Sandbox ซึ่งจะทำให้สามารถให้บริการ Digital Lending แก่กลุ่มลูกค้าใหม่ได้ รวมถึงการทำ Face Pay และ Redesign แอปพลิเคชัน UCHOOSE เพื่อเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ให้ตอบโจทย์ลูกค้าและใช้งานได้สะดวกขึ้นด้วย โดยสิ้นปีนี้ตั้งเป้าหมายยอดผู้ใช้แอปพลิเคชัน UCHOOSE ที่ 4 ล้านราย จากครึ่งปีแรกที่ 3.8 ล้านราย
นอกจากนี้ ที่ผ่านมากรุงศรี คอนซูมเมอร์ได้เปิดตัว MANOW ผู้ช่วยอัตโนมัติ ซึ่งเข้ามาช่วยในส่วนของการบริการ Call center ให้รวดเร็วและเต็มรูปแบบมากขึ้น ขณะเดียวกัน AI ที่นำมาใช้นั้นจะเรียนรู้ในการจดจำเสียงและรูปแบบในการสนทนาของลูกค้าเพื่อนำมาช่วยพิสูจน์ตัวตนและความต้องการของลูกค้าในอนาคตด้วย โดย 2 เดือนแรกที่เปิดใช้มามีผู้ใช้ Callcenter ประมาณ 200,000 ราย มี 60,000 รายใช้บริการ MANOW ซึ่ง 80% ของผู้ใช้สามารถให้บริการได้ถูกต้อง และอีก 20% ส่งต่อให้แก่เจ้าหน้าที่เนื่องจากเป็นกรณีที่มีความซับซ้อน ซึ่งหากตัว AI นี้มีพัฒนาการที่ดีขึ้นก็จะสามารถบริการ Call Center ได้มากขึ้น ก็จะทำให้บริการลูกค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมงใน 7 วันต่อสัปดาห์
ส่วนเป้าหมายการขยายฐานลูกค้านั้น ยังคงเป้าหมายทั้งปีมียอดลูกค้าบัตรเครดิต-สินเชื่อเชื่อบุคคล 900,000 ราย จากครึ่งปีแรกที่ 479,000 รายเพิ่มขึ้น 33% ยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต 330,000 ล้านบาท จากครึ่งปีแรกที่ 165,000 ล้านบาท และยอดสินเชื่อใหม่ที่ 85,000 ล้านบาท จากครึ่งปีแรกที่ 50,000 ล้านบาท โดย ณ ครึ่งปีแรกมีจำนวนบัญชีรวมกว่า 9 ล้านบัญชี เพิ่มขึ้น 8% จากสิ้นปีก่อน และมียอดสินเชื่อคงค้างรวม 135,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% จากสิ้นปีก่อน
ส่วนกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะมีการใช้มาตรการกำหนดสัดส่วนภาระหนี้ต่อรายได้ (DSR) ไม่เกิน 70% สำหรับผู้มีรายได้ต่ำกว่า 30,000 บาทต่อเดือนนั้น นายฐากร กล่าวว่า หาก ธปท.ใช้เกณฑ์ดังกล่าว ก็คาดว่าจะส่งผลกระทบในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้ และทำให้จำนวนบัญชีลูกค้าใหม่รวมทั้งบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคล
อย่างไรก็ตาม บริษัทพร้อมให้ความร่วมมือ เนื่องจากโดยปกติบริษัทมีการคำนวณ DSR อยู่แล้วเฉลี่ยที่ระดับ 50-60% และส่วนใหญ่สัดส่วน 95% เป็นฐานลูกค้ามนุษย์เงินเดือน มีรายได้ชัดเจนและยังพิจารณารายได้อื่นๆ เพิ่มเติม เช่น ค่าทำงานล่วงเวลา ค่าคอมมิชชันและอื่นๆ เฉลี่ยย้อนหลัง 6 เดือน ส่วนคนที่มีภาระหนี้ต่อรายได้เกิน 70% คงไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อในระบบสถาบันการเงินได้นั้น ก็เชื่อว่า ทางการจะมีมาตรการควบคุมตามมา เพื่อไม่ให้คนกลุ่มนี้ออกไปเป็นหนี้นอกระบบ
"เราคงยังไม่ปรับเป้าหมายการปล่อยสินเชื่อ แค่ถ้ามาตรการ DSR มาแล้วกระทบก็คงปล่อยไปตามนั้น ซึ่งจริงๆ แล้วมาตรการดังกล่าวก็ถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะกลุ่มรายได้ต่ำกว่า 30,000 บาทต่อเดือนถือเป็นกลุ่มเสี่ยงจริง ซึ่งหากเขามีภาระหนี้ 70% ใช้จ่ายส่วนตัว 30% นั่นหมายถึงเขาจะไม่มีเงินออมเลย ดังนั้น เขาควรจะต้องปรับตัว รวมถึงเกณฑ์ดังกล่าวจะได้เป็นมาตรฐานที่ผู้ให้บริการใช้ร่วมกันด้วย นอกจากนี้ ยังมองว่ามีภาระหนี้หรือค่าใช้จ่ายในรูปแบบอื่นๆ ที่ยังมองไม่ได้นำเข้ามารวม เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ซึ่งหากรวมเข้ามาอยู่ในระบบเดียวกัน เพื่อจะได้เห็นพฤติกรรมของลูกค้าได้ชัดเจนขึ้น"