ฟูลเลอร์ตัน มาร์เกตส์ อินเตอร์เนชันแนล ประเมินเศรษฐกิจโลก ธนาคารกลางหลายประเทศประกาศลดดอกเบี้ย ส่งสัญญาณวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในรอบ 10-12 ปี สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนยังยืดยาวไปอีกเป็นปี ดังนั้น แนะนักลงทุนจับตาเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด พร้อมจับตาจังหวะเอาคืนของจีนในกรณีสงครามการค้ากับสหรัฐฯ
นายมาริโอ ซิงห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฟูลเลอร์ตัน มาร์เกตส์ อินเตอร์เนชันแนล กล่าวว่า สถานการณ์เศรษฐกิจ ณ ปัจจุบันเริ่มส่งสัญญาณเกิดวิกฤต ซึ่งจากที่มีการศึกษาวิกฤตการณ์ในอดีต ตั้งแต่ Energy Crisis ในปี พ.ศ. 2518 Back Monday ปี พ.ศ. 2530 Asian Financial Crisis ในปี พ.ศ. 2540 และ Subprime Crisis ในปี พ.ศ. 2551 เราพบว่าแต่ละเหตุการณ์มีระยะห่างอยู่ราว 10-12 ปี ซึ่งตรงกับช่วงเวลานี้
“เมื่อพิจารณาสถานการณ์ปัจจุบันจากทั่วโลก พบว่าสัญญาณสำคัญของวิกฤตการณ์เริ่มเกิดขึ้นแล้ว โดยธนาคารกลางในหลายประเทศเริ่มมีนโยบายปรับลดอัตราดอกเบี้ย เพื่อลดแรงจูงใจในการเก็บออมเงินของผู้บริโภค และเพิ่มแรงจูงใจในการกู้ยืมเพื่อลงทุนหรือขยายกิจการของภาคธุรกิจ สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นธนาคารกลางยุโรปที่เพิ่งส่งสัญญาณความตั้งใจที่จะลดอัตราดอกเบี้ย โดยอาจเป็นภายในเดือนกันยายน และเริ่มดำเนินการซื้อสินทรัพย์รอบใหม่ในปีนี้ อินเดียที่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยต่ำสุดในรอบ 9 ปี ออสเตรเลียที่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงสู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1% เกาหลีที่ลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 3 ปี ตุรกีปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งยิ่งใหญ่ในรอบ 17 ปี เศรษฐกิจสิงคโปร์มีอัตราการเติบโตที่น้อยกว่า 0.1% เมื่อเทียบเป็นรายปีในไตรมาสที่ 2 ซึ่งต่ำที่สุดในรอบ 10 ปี หรือแม้แต่เฟดก็มีแนวโน้มที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการแถลง FOMC ในสัปดาห์ที่ผ่านมา” มาริโอกล่าว
ขณะที่ นายจิมมี ซู หัวหน้าฝ่ายวางแผนกลยุทธ์ ฟูลเลอร์ตัน มาร์เกตส์ อินเตอร์เนชันแนล ระบุว่า ให้จับตาสงครามการค้าอย่างต่อเนื่อง เพราะมีโอกาสที่จะเกิดความผันผวนครั้งใหญ่ ความยืดเยื้ออาจจะมองได้ 2 กรณี กรณีแรกคือก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ซึ่งยังมองไม่เห็นข้อสรุปใดๆ ในขณะนี้ ความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นนั้นความจริงแล้ว โดนัลด์ ทรัมป์ เพียงต้องการให้จีนให้ความร่วมมือกับสหรัฐฯ ในการทำธุรกิจขนาดใหญ่กับจีน เพราะที่ผ่านมาจีนมีนโยบายสนับสนุนภาคธุรกิจขนาดกลางขนาดเล็กในประเทศให้เติบโต เป็นการสร้างความแข็งแรงให้เศรษฐกิจในประเทศ ซึ่งจีนมีขนาดเศรษฐกิจขนาดใหญ่ เป็นคู่แข่งสำคัญของสหรัฐฯ นั่นเอง กรณีที่ 2 ภายหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ซึ่งยังไม่มีความแน่นอน และไม่สามารถตัดสินได้ นับจากนี้ไปอีก 12 เดือน ประเทศต่างๆ จึงยังคงได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนของสงครามการค้า นำมาซึ่งความผันผวนของการค้าและค่าเงินในหลายประเทศ
“สิ่งที่น่าจับตามองมากที่สุดคือการตอบโต้จากจีน โดยเมื่อพิจารณาฝั่งของโดนัลด์ ทรัมป์ พบว่าทรัมป์ค่อนข้างให้ความสำคัญต่อการประคองภาวะตลาดหุ้นในสหรัฐฯ นั่นก็เป็นเพราะดุลการค้าการส่งออกไปยังจีนมีมูลค่าเพียงประมาณ 1,000 ล้านเหรียญ ขณะที่การนำเข้าสูงถึง 5,000-6,000 ล้านเหรียญ การตอบโต้จากจีนจึงไม่น่าเป็นการตอบโต้ในทางการค้า แต่ด้วยการเป็นประเทศขนาดใหญ่ มีสินทรัพย์มาก ตลาดหุ้นอาจเป็นหนทางในการที่จีนจะเอาคืน มีความเป็นไปได้สูงที่จีนจะเทขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์อเมริกา เมื่อราคาหุ้นร่วงดิ่งลง ก็จะนำมาสู่ปัญหาการเลย์ออฟพนักงาน ทำให้เกิดการว่างงานเป็นจำนวนมาก นี่อาจเป็นชนวนที่จะนำไปสู่ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจโลก”
จิมมี ซู ยังกล่าวต่ออีกว่า ผลของสงครามการค้าที่ส่งผลกระทบต่อทุกภูมิภาค โดยเฉพาะประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศไทยซึ่งได้รับผลกระทบจึงต้องเตรียมรับมือ เพราะถ้าจีนเจอกำแพงภาษีที่ 25% นั่นหมายความว่าจะส่งผลกระทบต่อ GDP ของจีนลดลง 0.9% และ 0.9% ที่ลดลงจะส่งผลกระทบต่อ GPD ของประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 0.4% และการที่จีนมีขนาดเศรษฐกิจขนาดใหญ่จึงติดตามดัชนีภาคการผลิตของจีนซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดที่มีผลกระทบต่อการลงทุนในไทยอย่างใกล้ชิด
ขณะที่เศรษฐกิจไทยนับจากนี้จึงค่อนข้างท้าทายรัฐบาล เพราะการเติบโตของเศรษฐกิจโลกก็อยู่ในภาวะที่ตกต่ำ ขณะที่อัตราการเติบโตของการบริโภคในประเทศค่อนข้างช้า เมื่อเทียบกับขนาดและจำนวนประชากรในประเทศ ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทยก็คงไม่สามารถที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้ แม้ในหลายประเทศได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงไปแล้ว เพราะอัตราเงินเฟ้อของไทยที่ค่อนข้างสูงยังเป็นแรงกดดันให้แบงก์ชาติอาจจะต้องคงนโยบายเพิ่มอัตราดอกเบี้ยต่อไป อย่างไรก็ตาม ในส่วนของนโยบายรัฐบาลอาจจะมีนโนบายต่างๆ ในเรื่องการลงทุนในสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ออกมากระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ เพื่อเกิดการจ้างงาน และสร้างกำลังซื้อเข้ามากระตุ้นระบบเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ นักธุรกิจและนักลงทุนควรจับตาดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และมองหาโอกาสในการเพิ่มมูลค่าในการทำธุรกิจและการลงทุน ตลอดจนต้องศึกษาเครื่องมือและผลิตภัณฑ์การเงินและการลงทุนใหม่ๆ ที่มีประสิทธิภาพ สามารถต่อยอดทำกำไรได้แม้อยู่ในสภาวะเศรษฐกิจถดถอย