xs
xsm
sm
md
lg

บล.เออีซีมองกรอบ SET Index แกว่ง 1,720-1,750 จุด แนะจับตารัฐบาลใหม่แถลงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อรัฐสภา

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


บล.เออีซีประเมินดัชนี SET Index ในสัปดาห์นี้มีโอกาส Sideway-Up ในกรอบ 1,720-1,750 จุด พร้อมจับตามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภาในวันที่ 25 ก.ค.นี้ ทางฝ่ายวิจัยแนะดักทางหุ้น BJC-SEAFCO-DCC-ROBINS-ASK-LH ที่ยังมี Upside น่าลงทุน สอดรับอานิสงส์แผนกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐฯ

บริษัทหลักทรัพย์ เออีซี จำกัด (มหาชน) หรือ AECS ระบุว่า แนวโน้มการลงทุนในช่วงนี้มีแรงหนุนหลัก จากแรงซื้อเก็งกำไรในหุ้นที่ได้ประโยชน์จากนโยบายภาครัฐฯ ประกอบกับในวันที่ 25 ก.ค.นี้แนะนำให้จับตามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ที่จะแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา โดยเฉพาะนโยบาย เร่งด่วน 12 เรื่อง ซึ่งคาดจะมีรายละเอียดในการดำเนินนโยบายมากขึ้นในภายหลัง ขณะที่ทิศทางของ Fund Flow คาดกลับมาผันผวน หลัง 10Yr- Thai Bond Yield ปรับลงสู่ 1.910% ต่ำกว่า 10Yr US Bond Yield ที่ 2.053% ขณะที่ปัจจุบันซื้อขายด้วย PER ที่สูงราว 18.7x ทำให้ตลาดไทยมีความน่าสนใจลดลง

จากปัจจัยดังกล่าวข้างต้น ส่งผลให้ฝ่ายวิจัยแนะนำลงทุนในหุ้น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ หุ้นกลุ่มที่จะได้ประโยชน์จากแผนกระตุ้น ศก.ของรัฐฯ จากภาวะ ศก.ที่ชะลอตัวในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะภาคการบริโภค และการลงทุนของเอกชน ทำให้เรามองว่า ครม.ชุดใหม่ที่มีการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการมีโอกาสสูงที่จะเร่งออกนโยบายกระตุ้น ศก.ในระยะสั้นเพื่อพยุง ศก. เราจึงแนะนำหุ้นที่ได้ประโยชน์จากประเด็นดังกล่าวที่ยังมี Upside น่าสนใจ ได้แก่ BJC (โดยมองว่า ช่วง 2H62 คาดเห็นการฟื้นตัว HoH จากการขยายสาขา BigC มากขึ้น จากสาขาทั้งในประเทศ 7 สาขา และสาขาที่กัมพูชา 1 สาขา BigC Food Place 1 สาขา และ Mini BigC ราว 200 สาขา), SEAFCO (ช่วง 2Q62 คาดโต 5.4%YoY ด้วยงานก่อสร้างที่รับรู้สูงกว่าปีก่อน เราปรับเพิ่มประมาณการหลังได้รับงานใหม่ขนาดใหญ่มูลค่ากว่า 900 ล้านบาท)

DCC (คาดปี 62 โต YoY หนุนด้วยกำลังผลิต และต้นทุนกระเบื้องดีขึ้นจาก Economy of scale หลังเข้าบริหาร และถือหุ้น RCI อีกทั้งตั้งเป้าขยายสาขาปีนี้เพิ่มอีก 5 สาขา พร้อมปรับ Business Model แบ่งพื้นที่สาขาให้ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องเช่าเพื่อเพิ่มช่องทางรับรู้รายได้ นอกจากนี้ ยังซื้อขายที่ PER15.2X ถูกกว่าทั้ง GLOBAL และ HMPRO และ ROBINS (แม้ช่วง 2Q62 คาดกำไรหดทั้ง QoQ และ YoY หลัง SSSG ที่คาดติดลบราว 0.5-1% แต่คาดราคาหุ้นปรับลงมาเพื่อสะท้อนปัจจัยดังกล่าวแล้ว พร้อมทั้งคาดว่ากำไรในช่วงครึ่งปีหลังจะยังโต HoH และโต YoY หนุนด้วยช่วง 4Q62 เป็นช่วง High Season และมีการกลับมาเปิดของ 3 สาขาที่ปิดปรับปรุง)

ขณะที่กลุ่ม Defensive Stock ท่ามกลางความผันผวนของตลาดหุ้นเราเลือกหุ้นที่มีอัตราจ่ายปันผลน่าดึงดูดบวกกับกำไรช่วง 2H62 มีแนวโน้มโตดี แนะนำ ASK (คาดผลดำเนินงานมีโตต่อเนื่องตั้งแต่ช่วง 2Q62 หนุนด้วยสินเชื่อรถพาณิชย์ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามงานก่อสร้างภาครัฐฯ ที่จะทยอยเร่งตัวขึ้น บวกกับคาดได้ประโยชน์จากการทยอยเปลี่ยนรถตู้เป็นรถมินิบัสของผู้ประกอบการรถโดยสารสาธารณะ ตามมาตรการของ ขสมก.) LH (คาดได้รับผลกระทบจากมาตรการ LTV ที่จำกัดเนื่องจากมีสัดส่วนโครงการแนวราบมากกว่าคอนโดฯ ราว 2-3 เท่า บวกกับมีกำไรจากการลงทุนใน HMPRO, QH และ LHFG ที่โตต่อเนื่อง หนุนคาดผลการดำเนินงานทั้งปีโต YoY และคาดมีการจ่ายปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานช่วง 1H62 คิดเป็น 3.2-3.6% ต่อปี)


กำลังโหลดความคิดเห็น