ออริจิ้นฝ่าสมรภูมิอสังหาฯ ยุคชะลอตัว ขยายเซกเมนต์จับตลาด GEN C คนเริ่มทำงานหนี้น้อยแก้โจทย์ยอดรีเจกต์สูง ทุ่มงบ 100 ล้านบาท เปิดตัว “ดิ ออริจิ้น” คอนโดฯ ล้านต้นๆ เกาะแนวรถไฟฟ้า ปี 62 เปิด 6 โครงการรวด มูลค่า 7,700 ล้านบาท ปีหน้าเปิดเพิ่ม 7-8 โครงการ มั่นใจยอดขายสิ้นปีตามเป้า 28,000 ล้านบาท
นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI เผยถึงภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2562 นี้จะหดตัวประมาณ 5-10% จากหลายปัจจัย ทั้งเศรษฐกิจ การเมือง มาตรการ LTV ( Loan to Value : LTV ) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รวมทั้งสงครามการค้าจีน สหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ปัญหาของกลุ่มผู้ซื้อบ้านส่วนใหญ่มาจากหนี้ครัวเรือนที่สูงจนทำให้ถูกสถาบันการเงินปฏิเสธสินเชื่อ
จากสถานการณ์ตลาดทำให้บริษัทต้องปรับตัว ด้วยการมองหากลุ่มลูกค้าเป้าหมายใหม่ๆ โดยนับจากนี้ บริษัทจะเดินหน้าให้ความสำคัญต่อตลาดกลุ่มคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มที่เพิ่งเริ่มต้นทำงาน (First Jobber) และกลุ่มที่เพิ่งซื้อคอนโดมิเนียมหลังแรก (First Condo Buyer) อายุประมาณ 23-28 ปี จึงได้พัฒนาแบรนด์ “ดิ ออริจิ้น” (The Origin) ขึ้นมา ให้เป็นแบรนด์คอนโดมิเนียมที่เข้าใจคนรุ่นใหม่ แก้ Pain Point และตอบโจทย์ทุกการใช้ชีวิต โดยในปี 2562 นี้ จะเปิดตัว 6 โครงการใน 6 ทำเลทั่วกรุงเทพฯ ได้แก่ สุขุมวิท รัชดา ลาดพร้าว รามอินทรา รามคำแหง พหลโยธิน มูลค่าโครงการรวมกว่า 7,700 ล้านบาท โดยดิ ออริจิ้น จะมีราคาขายเฉลี่ย 80,000-100,000 บาท/ตารางเมตร หรือราคา 1 ล้านต้นๆ ซึ่งเป็นช่องว่างทางการตลาดที่น่าสนใจ เพราะยังไม่มีคู่แข่ง ซึ่งเป็นการทำตลาดแทนแบรนด์ Kensington และ Knightbridge ที่จับกลุ่มชนชั้นกลาง ที่มีราคาขาย 100,000 บาท/ตารางเมตร ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีปัญหาเรื่องกำลังซื้อและหนี้ครัวเรือนสูง
“ที่ผ่านมา สังคมมักวางกรอบของการใช้ชีวิตของผู้คนว่าจะต้องเป็นไปในรูปแบบเดียวกัน ความสำเร็จต้องเป็นแบบเดียวกัน แต่เรามองว่าจริงๆ แล้วการใช้ชีวิตของแต่ละคนมีเงื่อนไขและปัจจัยแวดล้อมแตกต่างกัน ทุกคนสามารถใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าและประสบความสำเร็จในแบบของตัวเองได้ เราจึงชูคอนเซ็ปต์ของแบรนด์ ดิ ออริจิ้น ให้สนับสนุนเรื่อง Live Your Value หรือใช้ชีวิตอย่างที่เชื่อ นอกจากนี้ กลุ่มเจน ซี ยังเป็นกลุ่มเป้าหมายที่มีศักยภาพในระยะยาวที่กลายเป็นลูกค้าออริจิ้นในเซกเมนต์ต่างๆ ในอนาคต” นายพีระพงศ์ กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทจะใช้คอนโดฯ แบรนด์ ดิ ออริจิ้น ทำตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้คาดว่าจะสร้างยอดขายคิดเป็นสัดส่วน 20% หรือ 5,000 ล้านบาท ของพอร์ตยอดขายทั้งหมด จากการเปิดตัว 6 โครงการ ส่วนในปี 2563 จะเปิดเพิ่มอีก 7-8 โครงการตามแนวรถไฟฟ้าเพื่อรองรับกลุ่มเจนเนอเรชัน ซี ในย่านฝั่งธนฯ สายไหม
ด้าน นายสมสกุล แสงสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานออกแบบผลิตภัณฑ์ บริษัท ออริจิ้นฯ กล่าวว่า 4 ฟังก์ชันและสิ่งอำนวยความสะดวกที่โดดเด่นของคอนโดมิเนียมแบรนด์ “ดิ ออริจิ้น” ได้แก่ 1.Smart Closet ออกแบบทุกพื้นที่ในห้องให้สามารถเก็บของได้เพิ่มขึ้นอย่างชาญฉลาด 2.Hotel Services on Demand เชื่อมโยงบริการช่างและพนักงานทำความสะอาด มาตรฐานระดับโรงแรม 3.24hr Co-working Space ตอบโจทย์การทำงาน 24 ชั่วโมงของวัยรุ่นไฟแรง ด้วยพื้นที่ส่วนกลางที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับการทำงาน 4.Private Party Room พื้นที่ปาร์ตี้แบบเก็บเสียง ป้องกันเสียงรบกวนทั้งภายนอกสู่ภายในและภายในสู่ภายนอก
“ค่าเฉลี่ยอายุของพนักงานออริจิ้น อยู่ที่ประมาณ 28-29 ปี ทีมงาน Product Design ของเราจึงเปรียบเสมือนตัวแทนของลูกค้า ทำให้เข้าใจ Pain Point และความต้องการของวัยรุ่นเป็นอย่างดี จนเกิดการพัฒนาเป็น 4 ฟังก์ชันหลัก ที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัยของ First Jobber และ First Condo Buyer อย่างแท้จริง” นายสมสกุล กล่าว
เพื่อสะท้อนภาพความเข้าใจกลุ่มคนรุ่นใหม่และสนับสนุนเรื่อง Live YourValue รวมถึงสนับสนุนการเปิดตัวแบรนด์ ดิ ออริจิ้น แบบก้าวกระโดด บริษัทจึงได้จัดทำภาพยนตร์โฆษณา จำนวน 5 เรื่อง ได้แก่ ภาพยนตร์โฆษณาเรื่อง “ชีวิตจริง 101” ยินดีต้อนรับสู่โลกแห่งความจริง สะท้อนความเข้าใจต่อชีวิตของคนรุ่นใหม่ที่ต้องเผชิญเรื่องราวต่างๆ มากมาย และต้องเริ่มรับผิดชอบตัวเอง และภาพยนตร์โฆษณาอีก 4 เรื่อง สะท้อนถึงฟังก์ชันและสิ่งอำนวยความสะดวกโดดเด่นที่จะมีอยู่ในโครงการคอนโดมิเนียมแบรนด์ ดิ ออริจิ้น ทุกโครงการ โดยใช้งบในการโฆษณาประชาสัมพันธ์ 100 ล้านบาท
สำหรับภาพยนตร์โฆษณา 4 เรื่อง บริษัทได้มอบหมายให้ “ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์” ซึ่งเป็นแบรนด์ แอมบาสเดอร์ของบริษัทมารับหน้าที่เป็นนักแสดงนำในโฆษณา เชื่อว่าจะช่วยให้แบรนด์และฟังก์ชันเด็ดของ ดิ ออริจิ้น เป็นที่จดจำในกลุ่มคนรุ่นใหม่ได้ง่ายขึ้น หลังจากนั้น จะทยอยเปิดพรีเซลโครงการใหม่อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ 3 ส.ค.นี้ โดยโครงการแรกที่รามคำแหง 209 มียอดขาย 80% แล้ว
"โครงการนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งในการปรับกลยุทธ์ให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าวัยเริ่มทำงานที่เป็นกลุ่ม New Demand ที่เป็นกลุ่มคนที่มีสัดส่วนมากในประเทศ และเป็นกลุ่มที่มีการเติบโตมากที่สุด อีกทั้งเพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงของกลุ่มลูกค้านักลงทุน และกลุ่มลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการแอลทีวี เพราะเป็นกลุ่มที่ยังไม่มีหนี้สินและอยากมองหาที่อยู่อาศัยที่มีราคาไม่แพง "
สำหรับในปี 2562 บริษัทเชื่อมั่นว่าจะสร้างยอดขายได้ตามเป้าหมายที่วางเอาไว้ 28,000 ล้านบาท โดยในช่วง 6 เดือนแรกสามารถสร้างยอดขายได้แล้วเกือบ 13,000 ล้านบาท เหลือเป้าหมายอีก 15,000 ล้านบาท ที่จะต้องทำในช่วงครึ่งปีหลัง เชื่อว่าจะสามารถทำได้จากการเปิดโครงการใหม่ที่เพิ่มมากขึ้นจากในครึ่งปีแรก โดยไตรมาส 3 เตรียมเปิด 6 โครงการ มูลค่า 12,500 ล้านบาท ในไตรมาส 4 เปิดโครงการใหม่มูลค่า 7,000-8,000 ล้านบาท
ขณะที่รายได้รวมตั้งเป้าไว้ที่ 19,000 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากธุรกิจขายอสังหาริมทรัพย์ 17,000 ล้านบาท และรายได้อื่นๆ อีก 2,000 ล้านบาท ซึ่งจะมีการทยอยรับรู้รายได้จากมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) เข้ามาราว 11,000 ล้านบาท จาก Backlog ทั้งหมด 34,000 ล้านบาท โดยในส่วนของธุรกิจโรงแรมบริษัทคาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้เข้ามาได้ครั้งแรกในช่วงไตรมาส 4/2562 คือ โรงแรม Staybridge Suites Bangkok Thonglor และโรงแรม Holiday Inn & Suites Sriracha ที่ก่อสร้างแล้วเสร็จเร็วกว่าแผนที่กำหนดไว้ รวมไปถึง 2 โครงการใหม่ในกรุงเทพฯ และมิกซ์ยูสครบวงจรแห่งใหม่ในจังหวัดระยอง ที่จะมีการเติบโตสูงจากการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา และสมาร์ท ซิตีในมาบตาพุด ที่จะเป็นศูนย์กลางแห่งใหม่ของโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก