การชะลอตัวของตลาดรวมอสังหาริมทรัพย์ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ทำผู้พัฒนาโครงการอสังหาฯ ต้องรัดเข็มขัด รักษาสภาพคล่องทางการเงินอย่างเข้มงวด ดังนั้น ในการลงทุนพัฒนาโครงการใหม่แต่ละครั้งต้องระมัดระวังกว่าช่วงปกติ ทำให้เห็นได้ว่าภาพการลงทุนโดยรวมของตลาดในช่วงที่ผ่านมา จะเป็นการลงทุนของกลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ขณะที่ผู้ประกอบการรายเล็ก และรายกลาง ต่างพร้อมใจลดจำนวนการพัฒนาโครงการใหม่ แล้วหันไปเน้นการระบายสต๊อกสินค้าเก่า
อย่างไรก็ตาม แม้ว่า สถานการณ์ตลาดโดยรวมจะทำให้ผู้ประกอบการายเล็กและรายกลางต้องลดจำนวนการเปิดโครงการใหม่ แต่เนื่องด้วยความจำเป็นในด้านธุรกิจที่จะต้องมีรายได้เข้าสู่บริษัทที่ต่อเนื่อง ทำให้ทุกรายยังต้องมีการเปิดตัวโครงการใหม่ในทุกๆ ปี ปัจจัยดังกล่าวทำให้ผู้ประกอบการขนาดเล็กและกลางเหล่านี้ต้องดิ้นรน และปรับตัวเพื่อสร้างโอกาสในการขยายตัวทางธุรกิจ

แน่นอนว่าในภาวะตลาด ณ ปัจจุบัน การรักษาสภาพคล่องการเงินเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง ในขณะที่สถาบันการเงินก็เข้มงวดการปล่อยสินเชื่อโครงการ ทางออกของอสังหาฯ รายเล็กและรายกลาง คือ การแสวงหาแหล่งเงินทุนใหม่ๆ เข้ามาเสริมศักยภาพด้านการลงทุนของบริษัท ชอยส์แรกๆ ที่ตอบโจทย์นี้ได้คือ การหาพันธมิตรร่วมทุนนั่นเอง
นายสุรเชษฐ กองชีพ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟินิกซ์ พร็อพเพอร์ตี้ แอนด์ คอนซัลแทนซี่ จำกัด กล่าวว่า ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา สถานการณ์ตลาดอสังหาฯ ยังชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้ประกอบการรายเล็กและรายขนาดกลางต้องดิ้นรนเอาตัวรอดมากกว่าผู้ประกอบการรายใหญ่ที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งมีข้อได้เปรียบทั้งเครื่องมือทางการเงิน และยังสามารถหาผู้ร่วมทุนจากต่างประเทศได้ง่ายกว่า เนื่องจากกลุ่มทุนจากต่างประเทศที่เข้ามาหาบริษัทร่วมทุนนั้น ต่างมีเงื่อนไขในการเลือกผู้ร่วมทุนนั่นเอง โดยกลุ่มทุนใหญ่ๆ ที่เข้ามาหาบริษัทร่วมทุนในตลาดอสังหาฯ หลักๆ คือ กลุ่มทุนจากประเทศญี่ปุ่น และกลุ่มทุนจากประเทศจีน
ทั้งนี้ กลุ่มทุนผู้ประกอบการอสังหาฯ ไทยสนใจที่จะร่วมทุนเป็นกลุ่มแรกๆ คือ กลุ่มทุนจากประเทศญี่ปุ่น เพราะมีทั้งเทคโนโลยี มีเงินทุน และมีภาพลักษณ์ดีในสายตาของผู้บริโภคคนไทย แต่เงื่อนไขสำคัญของผู้ร่วมทุนจากญี่ปุ่นที่ให้ความสำคัญในการเลือกผู้ร่วมทุนคือ ความโปร่งใสในการดำเนินธุรกิจที่สามารถตรวจสอบได้ นอกจากนี้ ยังต้องเป็นบริษัทที่มีประวัติการพัฒนาโครงการต่อเนื่อง และประสบความสำเร็จในการพัฒนาโครงการมาแล้ว และต้องมีแบรนด์ที่ดี มีการลงทุนที่ต่อเนื่อง รวมไปถึงการมีทัศนคติในการดำเนินธุรกิจที่เหมือนหรือใกล้เคียงกัน และถ้ามีแบ็กล็อตในมือที่สามารถรับรู้รายได้ในระยะสั้นด้วยจะยิ่งน่าสนใจมากขึ้น
!!!...เงื่อนไขเหล่านี้เป็นเสมือนกำแพงกั้น สำหรับผู้ประกอบการรายเล็กและขนาดกลาง ที่ต้องการจะหาผู้ร่วมทุนจากญี่ปุ่น ในขณะที่กลุ่มทุนจากประเทศจีน เป็นอีกกลุ่มทุนที่มีกำลังเงิน เทคโนโลยี และทรัพยากรความพร้อมที่จะร่วมทุนกับผู้ประกอบการอสังหาฯ ไทย ไม่แพ้กลุ่มทุนจากประเทศญี่ปุ่น แต่ที่ผ่านมา มีเพียงไม่กี่รายที่ตกลงร่วมทุนกับกลุ่มทุนจากประเทศจีน เนื่องจากเงื่อนไขของกลุ่มทุนจากประเทศจีนนั้นยากที่ผู้ประกอบการไทยจะทำใจยอมรับได้ นั่นก็คือ กลุ่ทุนจีนจะต้องมีอำนาจเด็ดขาดในการดำเนินงานทุกอย่าง ทุกขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็นการเลือกวัสดุก่อสร้าง ระบบการก่อสร้าง การขาย การทำตลาด การออกแบบ หรือแม้กระทั่งการหาไฟแนนช์ปล่อยกู้โครงการ เนื่องจากกลุ่มทุนจีนนั้นมีครบและจบทุกอย่างในตัวเองอยู่แล้ว ดังนั้น ที่ผ่านมา เราจึงเห็นว่ามีผู้ประกอบการอสังหาฯ น้อยรายมากที่จะเลือกพันธมิตรร่วมทุนจากประเทศจีน

แบงก์กาหัวแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วง-สีน้ำเงิน เรดโซนคอนโดฯ
นายสุรเชษฐ์ กล่าวต่อว่า เมื่อหาแหล่งเงินทุนจากการร่วมทุนไม่ได้ การปรับตัวของผู้ประกอบการรายเล็ก และรายกลาง คือการเปิดโครงการใหม่ในย่านชานเมือง เนื่องจากราคาที่ดินในเมืองมีราคาแพงเพราะมีการปรับตัวอย่างก้าวกระโดดอย่างต่อเนื่อง ทำให้ในช่วงที่ผ่านมา ที่ดินในเมืองส่วนใหญ่ต้องนำมาพัฒนาโครงการอาคารสูง หรือคอนโดฯ และกลายเป็นอุปสรรคต่อการลงทุนของผู้ประกอบการขนาดเล็ก และขนาดกลางที่ต้องรักษาสภาพคล่อง เพราะการลงทุนในโครงการแนวสูงต้องใช้ระยะเวลาในการรับรู้รายได้
ดังนั้น ทำเลการพัฒนาโครงการใหม่ของผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดกลาง จึงกระจายอยู่ในย่านชานเมืองเป็นหลัก และส่วนใหญ่จะเป็นโครงการแนวราบ เนื่องจากเป็นทำเลที่ยากต่อการพัฒนาโครงการคอนโดฯ เพราะทำเลที่เหมาะต่อการพัฒนาคอนโดฯ ในย่านชานเมืองนั้น จำเป็นต้องมีระบบขนส่งรถไฟฟ้าที่เชื่อมต่อการเดินทางเข้าสู่แหล่งงาน หรือศูนย์กลางเมืองได้สะดวก เพื่อรองรับดีมานด์กลุ่มพนักงานบริษัทในย่านกลางเมือง ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อ และโอกาสในการจะถูกปฏิเสธสินเชื่อมีต่ำ ซึ่ง ณ ปัจจุบันนี้ รถไฟฟ้าที่ยื่นออกไปในย่านชานเมืองที่ก่อสร้างเสร็จแล้ว คือ โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน และรถไฟฟ้าสายสีม่วง ซึ่งถือว่าเป็น 2 เส้นทางที่มีศักยภาพเหมาะต่อการพัฒนาโครงการคอนโดฯ
“แม้จะมีเพียงแนวรถไฟฟ้า 2 สายที่ยื่นออกไปชานเมืองที่มีศักยภาพจะพัฒนาคอนโดฯ ได้ แต่ก็เป็นรู้กันดีในแวดวงธุรกิจอสังหาฯ ว่า ในจำนวนเส้นทางแนวรถไฟฟ้าที่มีการก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดให้บริการแล้ว มีเพียงแนวรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน และแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วง 2 เส้นทางนี้เท่านั้นที่สถาบันการเงินแทบจะขึ้นป้ายว่าไม่ปล่อยสินเชื่อเพื่อการพัฒนาโครงการ เนื่องจากตลอดเส้นทางรถไฟฟ้าทั้ง 2 สายนี้ ยังมีซัปพลายสะสม และซัปพลายที่รอระบายออกเยอะที่สุด ขณะที่สถานการณ์การระบายออกของซัปพลายเองก็ช้ามาก”

นายสุรเชษฐ์ กล่าวอีกว่า จากการเก็บตัวเลขซัปพลายในเส้นทางรถไฟฟ้าทั้ง 2 เส้นทางพบว่า ในแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วงนับตั้งแต่ปี 2552 จนถึงปัจจุบัน มีซัปพลายสะสมในพื้นที่รวมประมาณ 40,000 ยูนิต โดยในจำนวนนี้เป็นซัปพลายที่อยู่ระหว่างการขาย 7,000-8,000 ยูนิต ไม่นับรวมโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง และเปิดตัวใหม่ ขณะที่ในแนวรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน มีซัปพลายสะสมอยู่กว่า 50,000 ยูนิตเศษ ซึ่งในจำนวนนี้มีการระบายออกไปแล้ว 90% ส่งผลให้มีห้องชุดอยู่ระหว่างการขาย 5,000-6,000 ยูนิต ไม่นับรวมโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและโครงการเปิดใหม่
อย่างไรก็ตาม โอกาสในการหาพันธมิตรร่วมทุนจากกลุ่มทุนญี่ปุ่นนั้น ไม่ได้ปิดสนิทสำหรัลกลุ่มอสังหาฯ ขนาดเล็ก และขนาดกลางเลยซะทีเดียว ดังจะเห็นได้จากการร่วมทุนของ บริษัท อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์ และกลุ่ม ครีท กรุ๊ป (Creed Group) กลุ่มทุนอสังหาฯ จากญี่ปุ่น ซึ่งล่าสุดได้จัดตั้งบริษัทร่วมทุน อัลติจูด ครีท ตลาดพลู จำกัด มีทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท เพื่อพัฒนาโครงการ อัลติจูด ยูนิคอร์น สาทร-ท่าพระ มูลค่า 2,400 ล้านบาท
ก่อนหน้านี้ นายโตชิฮิโกะ มูเนโยชิ ผู้ก่อตั้งและกรรมการผู้จัดการ ครีท กรุ๊ป ได้เปิดเผยถึงแนวคิดในการร่วมทุนพัฒนาโครงการดังกล่าวว่า ครีท กรุ๊ป มีการขยายการลงทุนในภูมิภาคเอเชียมานานแล้ว โดยก่อนหน้านี้ได้เข้าไปลงทุนในประเทศมาเลเซีย กัมพูชา เวียดนาม พม่า อินโดนีเซีย สปป.ลาว และบังกลาเทศ และเมื่อมีนโยบายในการขยายการลงทุนด้านอสังหาฯ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัทได้มุ่งเป้าที่ตลาดอสังหาฯ ในไทยเป็นตลาดเป้าหมายสำคัญ เนื่องจากเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งมีอัตตราการขยายตัวสูง
จากแนวทางการเลือกลงทุนในตลาดอสังหาฯ ในประเทศไทยของกลุ่มทุนจากประเทศญี่ปุ่นที่มองว่าตลาดอสังหาฯ ไทยยังมีอนาคตนั้น สะท้อนให้เห็นถึงมุมมองของกลุ่มทุนจากประเทศญี่ปุ่นต่อตลาดอสังหาฯ ไทย ว่าจะยังมีอีกหลายกลุ่มทุนจากประเทศญี่ปุ่นมุ่งหน้าเข้ามาลงทุนในประเทศไทย โดยล่าสุด “รีโว เอสเตท” คืออีกหนึ่งในบริษัทอสังหาฯ รายเล็กของไทยที่ประกาศร่วมทุนกับ บริษัท ซีอาร์ส โฮม จำกัด บริษัทอสังหาฯ จากจังหวัดคูมะโมโต ประเทศญี่ปุ่น

โดย น.ส.สุทธิสินี อยู่สวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท รีโว เอสเตท จำกัด กล่าวว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตัดสินใจร่วมทุนกับซีอาร์ส โฮม คือ ภาวะตลาดอสังหาฯ ในปัจจุบันที่มีการแข่งขันกันค่อนข้างสูง รวมถึงองค์ประกอบด้านแลนด์สเคปของธุรกิจอสังหาฯ มีการเปลี่ยนแปลงไปค่อนข้างมาก ดังนั้นหากต้องการที่จะเติบโตในตลาดได้อย่างต่อเนื่อง จำเป็นที่จะก้าวให้ทันความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น หนึ่งในกลยุทธ์ที่จำเป็นนั่นคือ การเปิดรับพันธมิตรทางธุรกิจ ด้วยการร่วมทุนกับบริษัท ซีอาร์ส โฮม จำกัด ผู้ประกอบการอสังหาฯ ชั้นนำจากต่างประเทศ เพื่อร่วมกันพัฒนาอสังหาฯ และที่อยู่อาศัยในรูปแบบต่างๆ ให้ครบวงจร
“ถ้าเราอยากจะเติบโต ขยายการลงทุนเปิดโครงการใหม่ได้มากขึ้นจากปีละ 1-2 โครงการ เป็น 3-4 โครงการ หรือมากกว่านั้นการร่วมทุนมีนับว่าความจำเป็นอย่างมาก” น.ส.สุทธิสินี กล่าว
อย่างไรก็ตาม แม้ว่า สถานการณ์ตลาดโดยรวมจะทำให้ผู้ประกอบการายเล็กและรายกลางต้องลดจำนวนการเปิดโครงการใหม่ แต่เนื่องด้วยความจำเป็นในด้านธุรกิจที่จะต้องมีรายได้เข้าสู่บริษัทที่ต่อเนื่อง ทำให้ทุกรายยังต้องมีการเปิดตัวโครงการใหม่ในทุกๆ ปี ปัจจัยดังกล่าวทำให้ผู้ประกอบการขนาดเล็กและกลางเหล่านี้ต้องดิ้นรน และปรับตัวเพื่อสร้างโอกาสในการขยายตัวทางธุรกิจ
แน่นอนว่าในภาวะตลาด ณ ปัจจุบัน การรักษาสภาพคล่องการเงินเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง ในขณะที่สถาบันการเงินก็เข้มงวดการปล่อยสินเชื่อโครงการ ทางออกของอสังหาฯ รายเล็กและรายกลาง คือ การแสวงหาแหล่งเงินทุนใหม่ๆ เข้ามาเสริมศักยภาพด้านการลงทุนของบริษัท ชอยส์แรกๆ ที่ตอบโจทย์นี้ได้คือ การหาพันธมิตรร่วมทุนนั่นเอง
นายสุรเชษฐ กองชีพ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟินิกซ์ พร็อพเพอร์ตี้ แอนด์ คอนซัลแทนซี่ จำกัด กล่าวว่า ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา สถานการณ์ตลาดอสังหาฯ ยังชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้ประกอบการรายเล็กและรายขนาดกลางต้องดิ้นรนเอาตัวรอดมากกว่าผู้ประกอบการรายใหญ่ที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งมีข้อได้เปรียบทั้งเครื่องมือทางการเงิน และยังสามารถหาผู้ร่วมทุนจากต่างประเทศได้ง่ายกว่า เนื่องจากกลุ่มทุนจากต่างประเทศที่เข้ามาหาบริษัทร่วมทุนนั้น ต่างมีเงื่อนไขในการเลือกผู้ร่วมทุนนั่นเอง โดยกลุ่มทุนใหญ่ๆ ที่เข้ามาหาบริษัทร่วมทุนในตลาดอสังหาฯ หลักๆ คือ กลุ่มทุนจากประเทศญี่ปุ่น และกลุ่มทุนจากประเทศจีน
ทั้งนี้ กลุ่มทุนผู้ประกอบการอสังหาฯ ไทยสนใจที่จะร่วมทุนเป็นกลุ่มแรกๆ คือ กลุ่มทุนจากประเทศญี่ปุ่น เพราะมีทั้งเทคโนโลยี มีเงินทุน และมีภาพลักษณ์ดีในสายตาของผู้บริโภคคนไทย แต่เงื่อนไขสำคัญของผู้ร่วมทุนจากญี่ปุ่นที่ให้ความสำคัญในการเลือกผู้ร่วมทุนคือ ความโปร่งใสในการดำเนินธุรกิจที่สามารถตรวจสอบได้ นอกจากนี้ ยังต้องเป็นบริษัทที่มีประวัติการพัฒนาโครงการต่อเนื่อง และประสบความสำเร็จในการพัฒนาโครงการมาแล้ว และต้องมีแบรนด์ที่ดี มีการลงทุนที่ต่อเนื่อง รวมไปถึงการมีทัศนคติในการดำเนินธุรกิจที่เหมือนหรือใกล้เคียงกัน และถ้ามีแบ็กล็อตในมือที่สามารถรับรู้รายได้ในระยะสั้นด้วยจะยิ่งน่าสนใจมากขึ้น
!!!...เงื่อนไขเหล่านี้เป็นเสมือนกำแพงกั้น สำหรับผู้ประกอบการรายเล็กและขนาดกลาง ที่ต้องการจะหาผู้ร่วมทุนจากญี่ปุ่น ในขณะที่กลุ่มทุนจากประเทศจีน เป็นอีกกลุ่มทุนที่มีกำลังเงิน เทคโนโลยี และทรัพยากรความพร้อมที่จะร่วมทุนกับผู้ประกอบการอสังหาฯ ไทย ไม่แพ้กลุ่มทุนจากประเทศญี่ปุ่น แต่ที่ผ่านมา มีเพียงไม่กี่รายที่ตกลงร่วมทุนกับกลุ่มทุนจากประเทศจีน เนื่องจากเงื่อนไขของกลุ่มทุนจากประเทศจีนนั้นยากที่ผู้ประกอบการไทยจะทำใจยอมรับได้ นั่นก็คือ กลุ่ทุนจีนจะต้องมีอำนาจเด็ดขาดในการดำเนินงานทุกอย่าง ทุกขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็นการเลือกวัสดุก่อสร้าง ระบบการก่อสร้าง การขาย การทำตลาด การออกแบบ หรือแม้กระทั่งการหาไฟแนนช์ปล่อยกู้โครงการ เนื่องจากกลุ่มทุนจีนนั้นมีครบและจบทุกอย่างในตัวเองอยู่แล้ว ดังนั้น ที่ผ่านมา เราจึงเห็นว่ามีผู้ประกอบการอสังหาฯ น้อยรายมากที่จะเลือกพันธมิตรร่วมทุนจากประเทศจีน
แบงก์กาหัวแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วง-สีน้ำเงิน เรดโซนคอนโดฯ
นายสุรเชษฐ์ กล่าวต่อว่า เมื่อหาแหล่งเงินทุนจากการร่วมทุนไม่ได้ การปรับตัวของผู้ประกอบการรายเล็ก และรายกลาง คือการเปิดโครงการใหม่ในย่านชานเมือง เนื่องจากราคาที่ดินในเมืองมีราคาแพงเพราะมีการปรับตัวอย่างก้าวกระโดดอย่างต่อเนื่อง ทำให้ในช่วงที่ผ่านมา ที่ดินในเมืองส่วนใหญ่ต้องนำมาพัฒนาโครงการอาคารสูง หรือคอนโดฯ และกลายเป็นอุปสรรคต่อการลงทุนของผู้ประกอบการขนาดเล็ก และขนาดกลางที่ต้องรักษาสภาพคล่อง เพราะการลงทุนในโครงการแนวสูงต้องใช้ระยะเวลาในการรับรู้รายได้
ดังนั้น ทำเลการพัฒนาโครงการใหม่ของผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดกลาง จึงกระจายอยู่ในย่านชานเมืองเป็นหลัก และส่วนใหญ่จะเป็นโครงการแนวราบ เนื่องจากเป็นทำเลที่ยากต่อการพัฒนาโครงการคอนโดฯ เพราะทำเลที่เหมาะต่อการพัฒนาคอนโดฯ ในย่านชานเมืองนั้น จำเป็นต้องมีระบบขนส่งรถไฟฟ้าที่เชื่อมต่อการเดินทางเข้าสู่แหล่งงาน หรือศูนย์กลางเมืองได้สะดวก เพื่อรองรับดีมานด์กลุ่มพนักงานบริษัทในย่านกลางเมือง ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อ และโอกาสในการจะถูกปฏิเสธสินเชื่อมีต่ำ ซึ่ง ณ ปัจจุบันนี้ รถไฟฟ้าที่ยื่นออกไปในย่านชานเมืองที่ก่อสร้างเสร็จแล้ว คือ โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน และรถไฟฟ้าสายสีม่วง ซึ่งถือว่าเป็น 2 เส้นทางที่มีศักยภาพเหมาะต่อการพัฒนาโครงการคอนโดฯ
“แม้จะมีเพียงแนวรถไฟฟ้า 2 สายที่ยื่นออกไปชานเมืองที่มีศักยภาพจะพัฒนาคอนโดฯ ได้ แต่ก็เป็นรู้กันดีในแวดวงธุรกิจอสังหาฯ ว่า ในจำนวนเส้นทางแนวรถไฟฟ้าที่มีการก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดให้บริการแล้ว มีเพียงแนวรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน และแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วง 2 เส้นทางนี้เท่านั้นที่สถาบันการเงินแทบจะขึ้นป้ายว่าไม่ปล่อยสินเชื่อเพื่อการพัฒนาโครงการ เนื่องจากตลอดเส้นทางรถไฟฟ้าทั้ง 2 สายนี้ ยังมีซัปพลายสะสม และซัปพลายที่รอระบายออกเยอะที่สุด ขณะที่สถานการณ์การระบายออกของซัปพลายเองก็ช้ามาก”
นายสุรเชษฐ์ กล่าวอีกว่า จากการเก็บตัวเลขซัปพลายในเส้นทางรถไฟฟ้าทั้ง 2 เส้นทางพบว่า ในแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วงนับตั้งแต่ปี 2552 จนถึงปัจจุบัน มีซัปพลายสะสมในพื้นที่รวมประมาณ 40,000 ยูนิต โดยในจำนวนนี้เป็นซัปพลายที่อยู่ระหว่างการขาย 7,000-8,000 ยูนิต ไม่นับรวมโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง และเปิดตัวใหม่ ขณะที่ในแนวรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน มีซัปพลายสะสมอยู่กว่า 50,000 ยูนิตเศษ ซึ่งในจำนวนนี้มีการระบายออกไปแล้ว 90% ส่งผลให้มีห้องชุดอยู่ระหว่างการขาย 5,000-6,000 ยูนิต ไม่นับรวมโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและโครงการเปิดใหม่
อย่างไรก็ตาม โอกาสในการหาพันธมิตรร่วมทุนจากกลุ่มทุนญี่ปุ่นนั้น ไม่ได้ปิดสนิทสำหรัลกลุ่มอสังหาฯ ขนาดเล็ก และขนาดกลางเลยซะทีเดียว ดังจะเห็นได้จากการร่วมทุนของ บริษัท อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์ และกลุ่ม ครีท กรุ๊ป (Creed Group) กลุ่มทุนอสังหาฯ จากญี่ปุ่น ซึ่งล่าสุดได้จัดตั้งบริษัทร่วมทุน อัลติจูด ครีท ตลาดพลู จำกัด มีทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท เพื่อพัฒนาโครงการ อัลติจูด ยูนิคอร์น สาทร-ท่าพระ มูลค่า 2,400 ล้านบาท
ก่อนหน้านี้ นายโตชิฮิโกะ มูเนโยชิ ผู้ก่อตั้งและกรรมการผู้จัดการ ครีท กรุ๊ป ได้เปิดเผยถึงแนวคิดในการร่วมทุนพัฒนาโครงการดังกล่าวว่า ครีท กรุ๊ป มีการขยายการลงทุนในภูมิภาคเอเชียมานานแล้ว โดยก่อนหน้านี้ได้เข้าไปลงทุนในประเทศมาเลเซีย กัมพูชา เวียดนาม พม่า อินโดนีเซีย สปป.ลาว และบังกลาเทศ และเมื่อมีนโยบายในการขยายการลงทุนด้านอสังหาฯ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัทได้มุ่งเป้าที่ตลาดอสังหาฯ ในไทยเป็นตลาดเป้าหมายสำคัญ เนื่องจากเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งมีอัตตราการขยายตัวสูง
จากแนวทางการเลือกลงทุนในตลาดอสังหาฯ ในประเทศไทยของกลุ่มทุนจากประเทศญี่ปุ่นที่มองว่าตลาดอสังหาฯ ไทยยังมีอนาคตนั้น สะท้อนให้เห็นถึงมุมมองของกลุ่มทุนจากประเทศญี่ปุ่นต่อตลาดอสังหาฯ ไทย ว่าจะยังมีอีกหลายกลุ่มทุนจากประเทศญี่ปุ่นมุ่งหน้าเข้ามาลงทุนในประเทศไทย โดยล่าสุด “รีโว เอสเตท” คืออีกหนึ่งในบริษัทอสังหาฯ รายเล็กของไทยที่ประกาศร่วมทุนกับ บริษัท ซีอาร์ส โฮม จำกัด บริษัทอสังหาฯ จากจังหวัดคูมะโมโต ประเทศญี่ปุ่น
โดย น.ส.สุทธิสินี อยู่สวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท รีโว เอสเตท จำกัด กล่าวว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตัดสินใจร่วมทุนกับซีอาร์ส โฮม คือ ภาวะตลาดอสังหาฯ ในปัจจุบันที่มีการแข่งขันกันค่อนข้างสูง รวมถึงองค์ประกอบด้านแลนด์สเคปของธุรกิจอสังหาฯ มีการเปลี่ยนแปลงไปค่อนข้างมาก ดังนั้นหากต้องการที่จะเติบโตในตลาดได้อย่างต่อเนื่อง จำเป็นที่จะก้าวให้ทันความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น หนึ่งในกลยุทธ์ที่จำเป็นนั่นคือ การเปิดรับพันธมิตรทางธุรกิจ ด้วยการร่วมทุนกับบริษัท ซีอาร์ส โฮม จำกัด ผู้ประกอบการอสังหาฯ ชั้นนำจากต่างประเทศ เพื่อร่วมกันพัฒนาอสังหาฯ และที่อยู่อาศัยในรูปแบบต่างๆ ให้ครบวงจร
“ถ้าเราอยากจะเติบโต ขยายการลงทุนเปิดโครงการใหม่ได้มากขึ้นจากปีละ 1-2 โครงการ เป็น 3-4 โครงการ หรือมากกว่านั้นการร่วมทุนมีนับว่าความจำเป็นอย่างมาก” น.ส.สุทธิสินี กล่าว