บล.กสิกรไทยปรับเพิ่มเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยเป็น 1,775 จุด จากเดิมซึ่งอยู่ที่ 1,725 จุด แนะจับตา SET INDEX ลุ้นแตะ 1,800 จุด รับอานิสงส์เฟดและอีซีบีผ่อนคลายนโยบายทางการเงิน ส่วนการเมืองในประเทศเห็นความชัดเจนคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ในเดือนนี้ แนะหุ้นเด่น CPALL, CK, STEC, AMATA และ TFFIF แนวโน้มสดใส
นายภาสกร ลินมณีโชติ รองกรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า บล.กสิกรไทยได้มีการปรับประมาณการเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยในอีก 12 เดือนหน้าเพิ่มขึ้นเป็น 1,775 จุด จากเดิมที่วางไว้ที่ 1,725 จุด ส่วนกรอบระยะสั้น 1 เดือน มองไว้ว่าจะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,660-1,760 จุด จากเดิมที่ 1,590-1,680 จุด
"ประเด็นที่เราให้น้ำหนักในการปรับเพิ่มเป้าหมายดัชนี SET INDEX มาจากถ้อยแถลงของธนาคารกลางหลายแห่งมีท่าทีผ่อนคลายนโยบายการเงิน ทั้งจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) ที่ส่งผลให้ bond yield ของโลกและในประเทศปรับลดลงอย่างมาก ขณะที่ประเด็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนไม่ได้เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ ส่วนปัจจัยทางการเมืองคาดว่าจะมีคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่ภายในเดือนกรกฎาคมนี้ อย่างไรก็ตาม ดัชนีหุ้นไทยมองว่าหากสามารถผ่านแนวต้านที่สำคัญที่ 1,760 จุดได้ มีโอกาสที่จะเห็นดัชนีหุ้นไทยแตะที่ระดับ 1,800 จุดได้ในสิ้นปีนี้"
อย่างไรก็ดี ทาง บล.กสิกรไทยมองภาพตลาดในทิศทางบวก และดัชนีหุ้นที่ปรับเพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรที่ปรับลดลง สะท้อนจากช่วง 10 พฤษภาคมที่ผ่านมาจนถึง 21 มิถุนายน ส่งผลให้ดัชนีหุ้นปรับเพิ่มขึ้นแล้ว 68 จุด หลังจากที่ bond yield ที่ลดลงถึง 0.32% นอกจากนี้ ทิศทาง bond yield โลกอาจพลิกกลับได้ เพราะดัชนีหุ้นที่ปรับเพิ่มส่วนใหญ่มาจากการปรับตัวของ yield ดังนั้น หากสถานการณ์พลิกกลับและ yield ปรับสูงขึ้น ก็อาจทำให้หุ้นไทยปรับตัวลดลงสู่ระดับก่อนหน้า หรือประมาณ 1,600 จุดได้
ในส่วนของแนวโน้มการลงทุนระยะสั้น ยังคงแนะนำนักลงทุนให้ติดตามการประชุมธนาคารกลางอินโดนีเซียในวันที่ 17-18 กรกฎาคมนี้ ที่คาดว่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง ซึ่งเป็นประเทศที่สามของอาเซียน และอาจเป็นแรงกดดันต่อธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในแง่ของอัตราดอกเบี้ยด้วย นอกจากนี้ โอกาสที่ ธปท.จะยังคงดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 1.75% ต่อปี เพื่อรักษาขีดความสามารถในการดำเนินนโยบาย และเสถียรภาพทางการเงินเอาไว้ในปีนี้ต่อไป
"การเมืองภายในประเทศที่น่าจับตามองนั้น เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่จะเข้ามาช่วยหนุนภาพรวมการลงทุนในตลาด โดยเฉพาะภายหลังจากจัดตั้งรัฐบาลแล้ว สิ่งที่ประชาชนให้ความสนใจคือนโยบายเศรษฐกิจที่สำคัญซึ่งต่อเนื่องจากเดิม และนโยบายแรกที่จะออกมา คือ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเร่งด่วน และมีผลต่อเศรษฐกิจทันที โดยเฉพาะมาตรการผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ"
ทั้งนี้ ในส่วนของกลยุทธ์การลงทุน บล.กสิกรไทยมองว่า กลุ่มที่เกี่ยวเนื่องกับปัจจัยในประเทศยังน่าสนใจ โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ โดยหุ้นที่น่าสนใจ เช่น CPALL ที่จะได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นของรัฐบาลชุดใหม่ CK STEC ที่จะได้ประโยชน์จากการเร่งประมูลโครงการของภาครัฐ AMATA ที่ได้รับประโยชน์จากสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน โดยเริ่มเห็นการย้ายฐานจากจีนมายังเวียดนาม นอกจากนี้ กลุ่ม TFFIF ยังถือว่าน่าสนใจ เนื่องจากจะได้รับประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ ส่วนต่างผลตอบแทนที่สูงขึ้นด้วยการที่กองทุนพันธบัตรจะต้องเสียภาษี 15% จากรายได้ดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นจาก bond fund และโอกาสที่จะมีเกณฑ์ LTF ใหม่ ที่มีเงื่อนไขเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มมากขึ้น ในส่วนหุ้นกลุ่ม ICT ยังเป็นหุ้นที่น่าสนใจ เพราะตลาดมีมุมมองเป็นบวกมากขึ้นต่อทิศทางการเติบโตของรายได้กลุ่มมือถือ จากการแข่งขันด้านราคาที่ผ่อนคลายลง การประเมินโอกาสที่ต้นทุนจะปรับลดลงจากการยุติบริการ 2G ที่ต่ำเกินไปของตลาด เป็นต้น