บล.โกลเบล็กมองหุ้นไทยจับตาการประชุมเฟดสิ้นเดือน ก.ค.นี้ถึงทิศทางการลดดอกเบี้ย และการที่สหรัฐฯ-จีนเตรียมเจรจาการค้ารอบใหม่หลังเบรกไว้ก่อนนี้ โดยดัชนีตลาดหุ้นมีความผันผวนในกรอบ 1,705-1,745 จุด แนะกลยุทธ์ลงทุนหุ้นมีปัจจัยบวกรองรับ ส่วนด้านราคาทองคำแนะนำหาจังหวะซื้อเมื่อย่อตัวลง ให้กรอบการเคลื่อนไหวที่ 1,380-1,425 ดอลลาร์
น.ส.วิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS กล่าวว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยตอบรับปัจจัยบวกจากกรณีสหรัฐฯ และจีนเตรียมเจรจาการค้ารอบใหม่สัปดาห์นี้ โดยจีนกำลังพิจารณาสั่งซื้อสินค้าเกษตรบางรายการจากสหรัฐฯ
ส่วนปัจจัยลบที่กดดันความเชื่อมั่นการลงทุนในระยะนี้ เช่น สหรัฐฯ เปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 224,000 ตำแหน่งในเดือน มิ.ย. มากกว่าที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 165,000 ตำแหน่ง หลังเดือน พ.ค.ขยายตัวเพียง 72,000 ตำแหน่ง ลดความหวังต่อคาดการณ์ที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนนี้ และธนาคารโลก (World Bank) ปรับลดคาดการณ์ GDP ของไทยปีนี้เหลือ 3.5% (จากคาดการณ์เดิม 3.8%) จากปีก่อนที่เติบโต 4.1% จากผลกระทบของการส่งออกไตรมาสแรกหดตัวในรอบ 3 ปี การลงทุนภาครัฐลดลง โดยมีความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ยืดเยื้อเป็นความเสี่ยงที่สำคัญ รวมทั้งสถานการณ์สหรัฐฯ-อิหร่านตึงเครียดขึ้นหลังอิหร่านประกาศจะละเมิดข้อจำกัดการเสริมสมรรถนะยูเรเนียมที่ใช้ผลิตอาวุธนิวเคลียร์ และธนาคารดอยช์แบงก์ซึ่งเป็นธนาคารขนาดใหญ่ที่สุดของเยอรมนีประกาศแผนปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ รวมถึงการปรับลดจำนวนพนักงานกว่า 18,000 ตำแหน่ง และการปรับโครงสร้างในครั้งนี้จะส่งผลให้ผลดำเนินงานงวด 2Q62 คาดว่าจะขาดทุนอีกด้วยราว 2.8 พันล้านยูโร
นอกจากนี้ยังคงต้องจับตาในวันที่ 9 ก.ค. สหรัฐฯ เปิดเผยความเชื่อมั่นของธุรกิจขนาดย่อมเดือน มิ.ย. ตัวเลขการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) เดือน พ.ค. ส่วนในวันที่ 10 ก.ค. จับตานายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) จะแถลงการณ์ว่าด้วยนโยบายการเงินและภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ต่อสภาคองเกรสสหรัฐฯ รวมทั้งสหรัฐฯ จะเปิดเผยสต๊อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่ง สต๊อกน้ำมัน และเช้าวันที่ 11 ก.ค. คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) เปิดเผยรายงานการประชุมเมื่อวันที่ 18-19 มิ.ย. ส่วนจีนจะมีการเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) และดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือน มิ.ย. และในวันที่ 11 ก.ค. จีนเปิดเผยยอดขายรถเดือน มิ.ย. เช่นเดียวกับสหรัฐฯ เปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และอัตราเงินเฟ้อเดือน มิ.ย. นอกจากนี้ ในวันที่ 12 ก.ค. สหรัฐฯ เปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือน มิ.ย. ทางอียูเปิดเผยการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือน พ.ค. และจีนเปิดเผยยอดส่งออก นำเข้า และดุลการค้าเดือน มิ.ย. ยอดปล่อยกู้สกุลเงินหยวนเดือน มิ.ย.
ด้านนายสรรพกัณฑ์ ปัมทบริสุทธิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์มีโอกาสแกว่งตัวผันผวน โดยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าที่ตลาดคาด ส่งผลให้ลดโอกาสที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมสิ้นเดือนนี้ คาดดัชนี SET จะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 1,705-1,745 จุด และแนะนำกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการแข็งค่าของเงินบาท เช่น TOA, MGT, SMIT หุ้นที่ได้ประโยชน์จากผลการเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน เช่น SYNEX, HANA, COM7, TVO หุ้นที่ได้ประโยชน์จากการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ STEC, CK, STPI หุ้นกลุ่มเดินเรือ TTA, PSL, RCL และหุ้นเด่นจาก IAA Survey ADVANC, AMATA, CPALL, CPF, STEC
สำหรับแนวทางการลงทุนในทองคำ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็กกล่าวว่า ในสัปดาห์ที่ผ่านมาราคาทองคำค่อนข้างผันผวนอย่างมาก โดยราคาทองคำปรับตัวลงหลังสหรัฐฯ และจีนกลับมาเริ่มการเจรจาการค้าอีกครั้ง และคาดว่าจะระงับการเพิ่มภาษีต่อสินค้านำเข้าครั้งใหม่ระหว่างกัน นอกจากนี้ ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรสหรัฐฯ ที่ปรับตัวดีกว่าที่คาดไว้ส่งผลให้มีแรงขายออกมากดดันเพิ่มเติม
อย่างไรก็ตาม ทองคำยังคงมีแรงซื้อหนุนเข้ามาเมื่อปรับตัวลงเนื่องจาก Fed Watch จาก Bloomberg มีโอกาส 100% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% สู่ 2.25% ในเดือน ก.ค. ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนต่อการลงทุนทองคำในระยะกลาง ซึ่งคาดว่ากรอบการเคลื่อนไหวสัปดาห์นี้ที่ 1,380-1,425 ดอลลาร์โดยหาจังหวะซื้อเมื่อย่อตัวลง