กรุงศรีคาดเงินบาทยังแข็งค่าต่อเนื่องต้นปีมีโอกาสหลุด 30 หลังตลาดคาดเฟดมีแนวโน้มขึ้นดอกเบี้ย 3 ครั้ง ขณะที่ดอกเบี้ยไทยคงเพื่อเก็บกระสุน หวังรัฐส่งมาตรการคลังกระตุ้นนำ
นายตรรก บุนนาค ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านโกลบอลมาร์เก็ต ธนาคารกรุงศรีอยุธยา(BAY)กล่าวว่า ทิศทางตลาดเงินในช่วงครึ่งหลังปีนี้ยังคงมีความผันผวนในทิศทางที่แข็งค่าขึ้นจากเงินทุนที่ไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าจะยังมีอยู่หลังจากแนวโน้มนโยบายดอกเบี้ยของเฟดเปลี่ยนไปจากการขึ้นดอกเบี้ย 4 ครั้งในปีที่แล้วมาเป็นตรึงดอกเบี้ยแต่ตลาดได้คาดว่าจะปรับขึ้นถึง 3 ครั้งเช่นเดียวกับกรุงศรี คือ 2 ครั้งในปีนี้ช่วงการประชุมสิ้นเดือนนี้และเดือนกันยายนปีนี้และอีก 1 ครั้งในต้นปีหน้า รวมถึงการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยทำให้ต่างชาติยังมองบาทเป็นสกุลที่เป็น save heaven อยู่ทำให้ในช่วงครึ่งปีแรกมีเงินไหลเข้าตลาดหุ้นสูงถึง 50,000 ล้านบาท จากปีก่อนที่ไหลออก 280,000 ล้านบาท และตลาดตราสารหนี้ก็เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
ทั้งนี้ กรุงศรีคาดการณ์ค่าเงินบาทไตรมาส 3 ปีนี้ที่ 30.75 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ(กรอบ 30.00-31.75) ไตรมาส 4 ที่ระดับ 30.50(กรอบ 30.00-31.50) ขณะที่ไตรมาสแรกของปี 63 คาดการณ์ที่ 30.37 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ(กรอบ 29.75-31.25) และไตรมาสสองปี 63 ที่ 30.25 (กรอบ29.50-31.00) โดยจากกรอบคาดการณ์จะเห็นได้ว่าเงินบาทมีโอกาสแข็งค่าหลุดต่ำกว่า 30.00 บาท มาที่ 29.75-29.50 บาทได้ในช่วงครึ่งแรกของปีหน้า
"แม้แนวโน้มบาทจะแข็งค่าไปอีกอย่างน้อยๆ1ปี แต่ในระหว่างทางอาจจะมีการอ่อนค่าไปตามข่าวหรือสถานการณ์เป็นคราวๆไป"
**คาดกนง.คงดอกเบี้ยตลอดปี**
ขณะที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายไทยคาดการณ์ทรงตัวตลอดปีนี้ ทั้งนี้ เนื่องจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)ยังน่าจะให้ความสำคัญกับการสร้างเสถียรภาพทางการเงินในระยะยาว รวมถึงธปท.เองก็มีขีดจำกัดในการใช้นโยบายทางการเงินหลังจากที่ผ่านมามีปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพียงครั้งเดียว ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านได้ปรับขึ้นดอกเบี้ยมาหลายครั้งกว่า จึงควรเก็บกระสุนไว้ใช้ในกรณีที่ฉุกเฉินกว่านี้ ขณะที่การกระตุ้นเศรษฐกิจนั้น มาตรการการคลังที่ยังมีงบกลางอยู่ประมาณ 90,000 ล้านบาทน่าจะนำออกมาใช้ผ่านมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจซึ่งจะได้ผลที่เร็วกว่ามาตรการการเงิน
ส่วนการดูแลเงินบาทนั้น ธปท.น่าจะใช้มาตรการกำกับดูแลตามลำดับจากเบาไปหาหนัก อาทิ การแทรกแซงด้วยวาจา, การกวดขันบัญชีเงินฝากผู้มีถิ่นฐานนอกประเทศ ไปจนถึงการเก็บเงินสำรอง หรือเก็บภาษีเงินทุนนำเข้าแต่ที่ผ่านมาก็มักจะได้ผลในช่วงสั้นเท่านั้น ซึ่งกรุงศรีมองว่าการดูแลค่าเงินบาทนั้น หากทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยมีความสมดุลมากขึ้นนั้น โดยผลักดันการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของรัฐออกมาได้การนำเข้าก็จะเพิ่มขึ้นทำให้บาลานซ์ดุลบัญชีเดินสะพัด และลดแรงกดดันให้บาทแข็งแล้ว ยังเป็นช่วยพัฒนาเศรษฐกิจอย่างนั่งยืนด้วย
"ถามว่าปีนี้มีโอกาสที่ธปท.จะลดดอกเบี้ยมั้ย ก็มีโอกาสเพิ่มขึ้นกว่าเดิม แต่ด้วยความที่แบงก์ชาติมีขีดจำกัดในการลดดอกเบี้ยได้น้อยกว่าประเทศอื่นๆที่เขาหันกลับมาขึ้นดอกเบี้ยกันแล้ว อย่าง สหรัฐฯรอบนี้ขึ้นไป 9 ครั้ง ประเทศในภูมิภาคนี้ก็ขึ้นกันไป 3-4 ครั้ง จึงทำให้มีความคล่องตัวในการดำเนินนโยบาย ขณะที่ไทยเพิ่งขึ้นไป 1 ครั้งจึงน่าจะเก็บกระสุนไว้ก่อน แล้วใข้มาตรการการคลังที่ได้ผลเร็วไปก่อน"
สำหรับปัจจัยที่ยังต้องติดตามท่าทีการดำเนินนโยบายของธนาคารต่างๆทั้งเฟด ธนาคารกลางยุโรป รวมถึงธปท. ขณะที่ประเด็นสงครามการค้าเองก็ยังไม่จบแม้ จะมีการพักยกกันไปเมื่อการประชุม G 20ในปลายเดือนก่อน แต่ก็ยังไม่มีกำหนดการหารือที่ชัดเจน จึงทำให้ยังมีความกดดันต่อเศรษฐกิจไทยอยู่โดยที่ผ่านมากรุงศรีได้ปรับลดประมาณการจีดีพีไทยเติบโตเหลือ 3.2% และการส่งออกหดตัว 1.5%
**แนะผู้ประกอบการนำเข้ายกระดับธุรกิจ**
นายตรรกกล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตาม ในสภาวะที่เศรษฐกิจโดยรวมยังชะลอตัว รวมถึงเงินบาทก็จะแข็งค่าอยู่อีกอย่างน้อย 1 ปี กรุงศรีในฐานะสถาบันการเงินในเครือ MUFG ที่มีเครือข่ายครอบคลุมในหลายภูมิภาคเสนอแนะให้ผู้ประกอบการถือโอกาสช่วงเงินบาทแข็งค่านำเข้าเทคโนโลยีหรือเครื่องจักรเพื่อยกระดับผลิตภาพและสร้างศักยภาพการแข่งขันในระยะยาวมากกว่าการมุ่งหวังกำไรจากค่าเงิน รวมถึงพิจารณาค้าขายด้วยสกุลภูมิภาคเดียวกันหรือสกุลที่ผู้ประกอบการใช้เพื่อลดความเสี่ยงค่าเงิน ซึ่งกรุงศรีก็มีบริการ-ผลิตภัณฑ์ที่พร้อมบริการและให้คำปรึกษาอยู่แล้ว