เคแบงก์เผยธุรกิจไพรเวทแบงกิ้งครึ่งปีแรกเติบโตดีรับอานิสงส์ตลาดหุ้นสดใส แต่ยังต้องระมัดระวังตลาดยังมีความไม่แน่นอนสูง แนะกระจายความเสี่ยง ด้านลอมบาร์ดคาดบาทแข็งค่าต่อเนื่อง
นายจิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์
Private Banking Group Head ธนาคารกสิกรไทย(KBANK)เปิดเผยในงานสัมมนา "Mid-year Economic Outlook 2019"ว่า ภาพรวมการดำเนินธุรกิจ Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทยในช่วงครึ่งปีแรกนี้มีจำนวนลูกค้า ประมาณ 11,000 คน จากเป้าหมายทั้งปีที่ 12,000 คน มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร(AUM) รวมประมาณ 7.6 แสนล้านบาท จากสิ้นปีก่อนที่อยู่ 7.5 แสนล้านบาท และในปีนี้ตั้งเป้า AUM เติบโต 8-10% คาดหวังผลตอบแทนไว้ที่ 5-6% จากปีก่อนขาดทุน 2-3% โดย 5 เดือนที่ผ่านมาผลตอบแทนเติบโต 9% โดยปัจจัยหลักมาจากดัชนีตลาดหลักทรัพย์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นปี
อย่างไรก็ตาม ในช่วงภาพรวมตลาดมีความไม่แน่นอนสูง ธนาคารจึงเน้นกลยุทธ์การลงทุนแบบกระจายความเสี่ยง โดยแนะนำลงทุนในหุ้นไม่เกิน 50% ตราสารหนี้ และ สินทรัพย์ทางเลือก อาทิ ทองคำ เงินฝาก เงินตราต่างประเทศ อสังหาริมทรัพย์ และ หุ้นที่อยู่นอกตลาดหลักทรัพย์
"แม้ในปัจจุบันภาพตลาดจะมีความไม่แน่นอนสูงขึ้น แต่ยังมีความคาดหวังที่จะปรับตัวดีขึ้นได้ หากสามารถหลีกเลี่ยงภาวะเศรษฐกิจถดถอยจากการดำเนินนโยบายกระตุ้นของรัฐบาลในแต่ละประเทศ รวมทั้งนโยบายการเงินเชิงรุกของธนาคารกลางในเศรษฐกิจหลักๆ โดยเฉพาะ FED รวมไปถึงความคืบหน้า หรือ ความชัดเจนในทางที่ดีของการเจรจาข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน"
นอกจากนี้ ในครึ่งปีหลังจะมีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ 6 กองทุน มูลค่ารวม 20,000-30,000 ล้านบาท จากครึ่งปีแรกออกไป 6 กองทุน มูลค่ารวม 20,000 ล้านบาท ซึ่งทำให้ทัั้งปีนี้จะออกผลิตภัณฑ์ทั้งสิ้น 12 กองทุน มูลค่ารวม 5-6 หมื่นล้านบาท โดยจะนำเสนอการลงทุนที่เน้นสินทรัพย์ หรือ กลยุทธ์ที่มีความสัมพันธ์ต่อการเคลื่อนไหวของภาวะตลาดโดยรวมน้อย เนื่องจากบางสถานการณ์การกระจายความเสี่ยงในสินทรัพย์หลากหลายทั่วโลกแบบดั้งเดิมนั้นไม่เพียงพอ ซึ่งจะเห็นได้อย่างชัดเจนในปี 61 ที่ผลตอบแทนทั้งหุ้น และ ตราสารหนี้ทั่วโลกปรับตัวลงพร้อมกัน และ ถึงแม้ว่าจะเป็นเหตุการณ์ไม่ปกติ คือ เกิดขึ้นเพียง 2 ครั้งในรอบ 30 ปีที่ผ่านมา แต่นับเป็นปีที่สร้างความหวั่นไหว และ ผิดหวังต่อนักลงทุนทั่วโลก
นายสเตฟาน โมเนียร์ ผู้บริหารงานการลงทุนระดับสูง, ลอมบาร์ด โอเดียร์ ไพรเวทแบงก์ (Chief Investment Officer, Lombard Odier Private Bank)
การลงทุนภายใต้ทางเลือก 2 ทาง มองว่า โลกอยู่ในช่วงท้ายของภาวะเศรษฐกิจโต หากเจรจาการค้าได้ และเฟดผ่อนคลายนโยบายการเงิน แต่ลูกค้าไม่ควรมั่นใจ และควรยึดหลักกระจายความเสี่ยง โดยให้สัดส่วนการลงทุนในหุ้นประมาณ 40% หุ้นกู้และพันธบัตรรัฐบาลอีก 40% เพราะในช่วงวัฎจักรเฟดลดดอกเบี้ย หากลูกค้าลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาว ลูกค้าจะได้รับทั้งดอกเบี้ยและกำไร และที่เหลือ 20% ลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก เช่น ในทองคำ หรือเงินเยน-ญี่ปุ่น โดยเฉพาะเยนซึ่งจะเป็นตัวสร้างสมดุล โดยการขายดอลลาร์ซื้อเยน ซึ่งตอนนี้เงินดอลลาร์ห่างจากจุดที่แพงถึง 2%
“เราอยู่ในช่วง late cycle แต่ปัจจัยบวกที่เฟดส่งสัญญาณและการเจรจาไปในทางบวก จะช่วยเราเติบโตไปได้ และไม่เกิดภาวะ Recession และประเทศในตลาดเกิดใหม่จะได้ประโยชน์จากช่วงนี้ ทำให้นักลงทุนสามารถเข้าไปลงทุนในตลาดเกิดใหม่ได้ โดยเรายังไม่ได้ให้น้ำหนักในหุ้นมากนัก”
**เก็งบาทแข็งหลุดต่ำกว่า30**
ด้านนายโอมิน ลี นักกลยุทธ์ เศรษฐกิจ มหาภาค, ลอมบาร์ด โอเดียร์ (Head of Portfolio Solutions Asia, Asia Macro Strategist, Lombard Odier) กล่าวว่า ทิศทางค่าเงินบาทในปีนี้มีโอกาสแข็งค่าหลุด 30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ และมีโอกาสแข็งค่าขึ้นอีกประมาณ 2-3% หรือประมาณ 60-90 สตางค์ ซึ่งอาจจะเห็นเงินบาทไปแตะที่ระดับ 28.50-29 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ได้ ภายหลังจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง โดยคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดดอกเบี้ยในช่วงเดือนกรกฎาคมหรือกันยายนลงประมาณ 0.25% และในช่วงเดือนกันยายนและธันวาคมอีก 0.25% ซึ่งส่งผลดีต่อตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market)
อย่างไรก็ดี แม้ว่าค่าเงินบาทแข็งค่าเมื่อเทียบกับประเทศคู่ค้า แต่ในข่วงเงินบาทแข็งค่าก็เป็นผลบวกต่อกำลังซื้อที่จะมีเพิ่มมากขึ้น รวมถึงมีกำลังมากขึ้นในการลงทุนในโครงการใหญ่ๆ เช่น โครงการโครงสร้างพื้นฐาน หรือโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งจะเป็นการต่อยอดการเติบโตอย่างยั่งยืนนอกเหนือจากการพึงพาการส่งออกอย่างเดียว ขณะเดียวกัน ไทยสามารถอาศัยช่วงที่เงินบาทแข็งค่าขยายตลาดการส่งออกไปยังตลาดในตลาดเกิดใหม่ที่มีกำลังซื้อมากขึ้น ซึ่งไม่ได้มุ่งเน้นแค่ตลาดสหรัฐฯ อย่างเดียว
“เฟดเริ่มส่งสัญญาณผ่อนคลายนโยบายการเงินแล้ว คาดว่าเฟดจะค่อยๆ ลดดอกเบี้ยลง ซึ่งน่าจะมีการลดดอกเบี้ยรอบประชุมกรกฎาคม-กันยายนนี้ และรอดูผลจากการลด และค่อยลดอีกทีในเดือนธันวาคม ซึ่งในส่วนของไทยจะเห็นธนาคารแห่งประเทศไทยลดดอกเบี้ยหลังจากเฟด ทำให้บาทแข็งค่าต่อได้ แต่ไทยใช้โอกาสบาทแข็งค่าลงทุนต่อยอดการเติบโตเศรษฐกิจ”