xs
xsm
sm
md
lg

บล.ไทยพาณิชย์ ชี้ DIF ยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อ

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


บล.ไทยพาณิชย์ ประเมินราคาหน่วยลงทุน DIF ที่ปรับขึ้นมาแล้ว 12.5% YTD แต่ผลตอบแทนจากเงินปันผล ยังคงน่าสนใจที่ 6.4% ในปี 2562 เทียบกับ IFF และ REIT อื่นๆ (ไม่รวม JASIF) ที่ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผล 2.8-6.8% นอกจากนี้ DIF ยังเป็นกองทุนที่ลงทุนในทรัพย์สิน โดยถือกรรมสิทธิ์ และผู้ถือหน่วยลงทุนไม่ต้องจ่ายภาษีหัก ณ ที่จ่าย สำหรับเงินปันผล จนถึงปี 2566 ในขณะที่ผู้ถือหน่วยลงทุน REIT ต้องจ่ายภาษี ณ ที่จ่าย 10% ดังนั้นเชื่อว่า DIF จะยังคงเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ สำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนในกองทุน IFF และ REIT พร้อมแนะนำ “ซื้อ” โดยมีราคาเป้าหมายอ้างอิงวิธี DCF ที่ 17.5 บาท

บล.ไทยพาณิชย์ ประเมินว่าราคาหน่วยลงทุนกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมดิจิทัลหรือ DIF ยังคงมีการสะท้อนในเชิงบวก โดยเฉพาะผลตอบแทนจากเงินปันผลยังน่าสนใจ ทั้ง ๆ ที่ราคาหน่วยลงทุนปรับตัวขึ้นมากกว่า SET เมื่อไม่นานนี้ โดยราคาหน่วยลงทุนของ DIF ปรับตัวขึ้นมาแล้ว 12.5% YTD มากกว่า SET อยู่ 8.6%

อย่างไรก็ดี ผลตอบแทนจากเงินปันผลยังคงน่าสนใจที่ 6.4% ในปี 2562 เมื่อเทียบกับ IFF และ REIT อื่นๆ (ไม่รวม JASIF) ที่ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผล 2.8-6.8% นอกจากนี้ผู้ถือหน่วยลงทุน DIF ไม่ต้องจ่ายภาษีหัก ณ ที่จ่ายจนถึงปี 2566 ในขณะที่ผู้ถือหน่วยลงทุน REIT ต้องจ่ายภาษี ณ ที่จ่าย 10% ทำให้โอกาสเติบโตจากผู้เช่าบุคคลที่สาม DTAC เป็นผู้ประกอบการบุคคลที่สามซึ่งเช่าเสาโทรคมนาคมจำนวนกว่า 1,500 เสา จาก DIF เพิ่มขึ้นจาก 200 เสา ในปี 2557 การเข้าสู่ยุค 5G จะเป็นปัจจัยใหม่ที่ช่วยกระตุ้นการเติบโตให้กับ DIF เนื่องจากจะส่งผลทำให้มีความต้องการพื้นที่ (slot) เพิ่มมากขึ้นสำหรับสถานีฐาน 5G ทั้งนี้ข้อมูลจาก MIIT ของจีนระบุว่า จีนจะมีสถานีฐาน 5G จำนวนมากกว่าสถานีฐาน 4G ถึง 30% แม้ว่าจะไม่เห็นการขยายโครงข่ายเชิงรุกในระยะเริ่มแรกของการให้บริการ 5G ในประเทศไทย แต่เชื่อว่าแนวโน้มระยะยาวจะคล้ายกันกับจีน

นอกจากนี้สมมติฐานตามหลักอนุรักษ์นิยมว่ารายได้จากผู้เช่าบุคคลที่สามจะเติบโตที่ CAGR 5.6% ต่อปี ในระหว่างปี 2561-2564 ซึ่งการซื้อทรัพย์สินใหม่จะส่งผลทำให้เงินปันผลปรับขึ้นได้อีกในปี 2564 เมื่อไม่นานนี้ TRUE ประกาศว่าบริษัทจะขายเสาโทรคมนาคมจำนวน 788 เสา และ FOC รวมระยะทาง 296,000 คอร์กิโลเมตร ให้แก่ DIF ใช้สมมติฐานว่ามูลค่าธุรกรรมครั้งนี้จะอยู่ที่ 1.58 หมื่นล้านบาทโดยที่ DIF ใช้แหล่งเงินทุนทั้งหมดจากการขายหน่วยลงทุนเพิ่มทุน (เสนอขายแก่ผู้ถือหน่วยลงทุนเดิมตามสัดส่วนการถือหน่วยลงทุนที่ได้รับสิทธิในการจองซื้อหน่วยลงทุน) ที่ราคา 15 บาท/หน่วย และออกหน่วยลงทุนใหม่ 1,050 ล้านหน่วย โดยคาดว่าธุรกรรมนี้จะแล้วเสร็จในเดือน ส.ค. 2562 ทำให้คาดว่าเงินปันผลจะมีแนวโน้มปรับขึ้นได้อีกในปี 2564

อย่างไรก็ตาม บล.ไทยพาณิชย์ยังคง คำแนะนำ “ซื้อ” โดยมีราคาเป้าหมายอ้างอิงวิธี DCF ที่ 17.5 บาท ที่ประเมินราคาเป้าหมายของ DIF โดยใช้ WACC 7.2% และ LTG 0% จากการที่ DIF มีศักยภาพในการจ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอและเพิ่มขึ้นอย่างน้อยจนถึงปี 2575 อีกทั้งยังมี upside เพิ่มเติม ถ้า TRUE ขายทรัพย์สินให้กับ DIF เพิ่ม ความเสี่ยงที่สำคัญได้แก่ 1.ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับตัวเพิ่มขึ้นมาก 2. แรงเทขายจาก TRUE และ 3. TRUE ไม่ขยายระยะเวลาการเช่าทรัพย์สิน

ทั้งนี้กองทุน DIF เป็นกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานแบบมีกรรมสิทธิ์ (freehold) ซึ่งเข้าลงทุนในทรัพย์สินโทรคมนาคมที่ประกอบด้วยเสาโทรคมนาคม จำนวน 15,271 เสา และระบบใยแก้วนำแสง (FOC) ระยะทาง 2.58 ล้านคอร์กิโลเมตร TRUE เป็นผู้สนับสนุนในการ จัดตั้งกองทุน (sponsor) ผู้เช่าหลัก และถือหน่วยลงทุน 30% ใน DIF ทั้งนี้ DIF และ TRUE เซ็นสัญญาเช่าระยะยาวจนถึงปี 2586 เราคาดว่าเงินปันผลต่อหน่วยจะเพิ่มขึ้น 0.6% จนถึงปี 2575 และหลังจากนั้นจะลดลงเมื่อสัญญาเช่าเสาโทรคมนาคมหมดอายุ


กำลังโหลดความคิดเห็น