xs
xsm
sm
md
lg

(รับชมคลิป) บล.กสิกร ลดเป้า SET INDEX ปี '62 เหลือ 1,725 จุดเหตุการเมืองอึมครึม-สงครามการค้ากดดัน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

นายภาสกร ลินมณีโชติ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน)
โบรกฯ กสิกรไทย ลดเป้าดัชนีหุ้นไทยปี 2562 เหลือ 1,725 จุด จากเดิมที่ประเมินไว้ที่ 1,750 จุด เหตุสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกายืดเยื้อ ไร้กรอบเวลายุติศึกความขัดแย้ง แม้การเมืองในประเทศหนุน เริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น แต่สุ่มเสี่ยงด้านเสถียรภาพจากจำนวนเสียงปริ่มน้ำ



นายภาสกร ลินมณีโชติ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กสิกรได้ประเมินแนวโน้ม Set Index ล่วงหน้า 12 เดือน ปลายปี 2562 นี้ โดยปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 1,725 จุด จากเดิมที่ประเมินไว้ที่ 1,750 จุด ซึ่งเป็นผลมาจากความยืดเยื้อในประเด็นสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกา โดยในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ประเด็นความขัดแย้งดังกล่าวกลับมามีความตึงเครียดรอบใหม่อีกครั้ง สะท้อนออกมาให้เห็นว่าแนวโน้มที่จะกดดันตลาดให้ติดลบมากขึ้น

ในส่วนของสถานการณ์การเมืองภายในประเทศที่เริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น โดยหลังการเลือกตั้ง ได้มีการรับรองสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเรียบร้อย และมีการฟอร์มทีมเพื่อจัดตั้งรัฐบาล ถึงแม้เป็นรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำก็ตาม โดยดัชนี ฯ ได้มีการตอบสนองในเชิงบวก กอรปกับทิศทางจากผลของการค้าของประเทศจีนในช่วงหนึ่งถึงสองวันที่ผ่านมา

"ในระยะสั้นคิดว่าตลาดทุนจะปรับตัวอยู่ในกรอบทดสอบบนที่ 1,680 จุด ส่วนกรอบล่างยังคงอยู่ที่ 1,590 จุด โดยยังคงยึดตามผลการวิจัยเศรษฐกิจในเดือนมกราคม-พฤษภาคมที่ผ่านมา"

ในส่วนของกลุ่มอุตสาหกรรมที่น่าสนใจลงทุนได้แก่หุ้นกลุ่มค้าปลีก เช่น CPALL โดยอานิสงส์จากโมเมนตั้มของหุ้นและผลกำไรที่เติบโตขึ้นต่อเนื่องในไตรมาสที่หนึ่งและไตรมาสที่สอง

ขณะที่กลุ่มต่อมาได้แก่กลุ่มอาหาร โดยหุ้นเด่นคือ CPF สืบเนื่องจากผลประกอบการในไตรมาสที่ 1/2562 ที่เติบโตดีมาก ถึงแม้ไตรมาสที่ 2 จะได้รับผลกระทบจากราคาสุกรที่อ่อนตัวลงในประเทศเวียดนาม แต่กระนั้น เชื่อว่าราคาเนื้อหมูจะฟื้นตัวกลับมาในไตรมาสที่ 3 เทียบเคียงจากราคาหมูในประเทศจีนจากช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านๆมา

นอกนี้หุ้นที่น่าสนใจยังได้แก่หุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง โดยเฉพาะหุ้น CK ที่จะได้รับอานิสงส์จากโครงการพื้นฐานขนาดใหญ่ต่อเนื่อง รวมไปถึงหุ้น STEC นอกเหนือจากนั้นได้แก่หุ้นกลุ่มธนาคาร โดยหุ้นเด่นได้แก่ SCB และ BBL ที่ประเมินจากคุณภาพสินทรัพย์มีแนวโน้มค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้น ซึ่งไตรมาสที่ 1 /2562 หนี้สินที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ใหม่ หรือ NPL Formation ได้มีการปรับตัวลดลงเป็นไตรมาสแรก ตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี 2561 เป็นต้นมา และถ้าหากลดลงอีก ก็จะทำให้มีความสนใจในการซื้อสินทรัพย์เพิ่มขึ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ ขณะเดียวกันหุ้นที่น่าสนใจ ยังคงได้แก่หุ้นกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม เช่น AMATA และ TFFIF

ในส่วนหุ้นกลุ่มสื่อสารที่โดดเด่น ได้แก่ TRUE โดยเฉพาะเงินสดหมุนเวียนที่เพิ่มขึ้น ทำให้มีศักยภาพในการแข่งขัน หากเทียบกับ ADVANC และ DTAC ที่ราคาหุ้นได้มีการปรับตัวขึ้นไปแล้ว นอกจากนี้ TRUE ยังจะได้ประโยชน์จากการยืดสัมปทานคลื่นความถี่ 900 เมกะเฮิรตซ์ อีกทั้งการให้สัมปทานคลื่นความถี่ใหม่คือ 700 เมกะเฮิรตซ์ จะตัดโอกาสผู้เล่นรายใหม่ให้น้อยลง ซึ่งจะเพิ่มส่วนของรายได้ให้กับ 3 ผู้เล่นหลักคือ TRUE, ADVANC และ DTAC มากขึ้น


กำลังโหลดความคิดเห็น