เคทีซีชี้จุดเสี่ยงปัญหาหนี้นอกระบบโดนโขกดอกเบี้ยหนัก-กฎหมายไม่คุ้มครอง" แนะรักษาวินัย-ประวัติทางการเงิน พร้อมเตรียมเปิด" นาโน-พิโกไฟแนนซ์"ดึงรายย่อยเข้าระบบ คาดเริ่มไตรมาส 3 ปีนี้ เชื่อโมเดลธุรกิจรับไหว
นายชุติเดช ชยุติ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารอาวุโส -คอร์ปอเรท ไฟแนนซ์ บริษัท บัตรกรุงไทย (KTC)เปิดเผยในงานเสวนาปันความรู้ "KTC FIT Talks 5:จับเข่าคุย เล่าความเสี่ยงนอกระบบ" ว่า สาเหตุของการเกิดหนี้นอกระบบนั้น ปัจจัยหลักเกิดขึ้นจากการที่บุคคลขาดโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุน อาทิ เอกสารด้านรายได้ไม่ครบ เป็นต้น รวมถึงกรณีที่ผู้กู้บางรายติดเครดิต บูโร ทำให้ไม่สามารถกู้เงินจากสถาบันการเงินในระบบได้ ดังนั้น คนกลุ่มนี้จึงต้องมีความจำเป็นต้องไปกู้ยืมกับเจ้าหนี้บุคคลนอกระบบซึ่งคิดดอกเบี้ยสูงทำให้เกิดการผิดนัดชำระหนี้ง่ายขึ้น และมีจำนวนมูลหนี้ที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่สาเหตุของหนี้ที่มีปัญหาส่วนใหญมาจากการใช้เงินเกินตัว ดังนั้น ผู้กู้ต้องให้ความสำคัญกับการรักษาวินัยทางการเงินและประวัติทางการเงินด้วย
ทั้งนี้ ข้อเสียของการกู้ยืมนอกระบบนั้น ก็มีอาทิ ดอกเบี้ยที่ไม่เป็นธรรม กฎหมายไม่รับรอง ไม่มีความปลอดภัยของข้อมูล การติดตามทวงหนี้ไม่มีมาตรฐาน และเงื่อนไขสัญญาที่ไม่ชัดเจน ดังนั้น การที่ทางการได้ส่งเสริมให้มีการจัดตั้ง นาโนไฟแนนซ์ และพิโกไฟแนนซ์ที่จะดึงหนี้นอกระบบเข้าสู่ระบบซึ่งจะทำให้ผู้กู้มีความเสี่ยงน้อยลง โดยเคทีซีก็อยู่ระหว่างการขอไลน์เซ่นส์จากธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)และกระทรวงการคลังหากได้ใบอนุญาตภายในเดือนนี้ก็สามารถเริ่มดำเนินธุรกิจได้ในไตรมาส 3 นี้
"เคทีซีเองก็ทำธุรกิจนี้มาระดับหนึ่งแล้ว และน่าจะมีความสามารถมากพอที่จะเข้าไปถึงกลุ่มลูกค้าที่ยังเข้าไม่ถึงเงินกู้ในระบบซึ่งถือเป็นการช่วยเหลือสังคมด้วย แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องเป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถสร้างรายได้และกำไรด้วย และตลาดนี้ถือเป็นตลาดที่ใหญ่ถ้าทำได้ก็ถือว่าเราจะได้ขยายฐานลูกค้าอีกมาก"
นายชุติเดชกล่าวอีกว่า นาโน-พิโกฯนั้นเปิดมาแล้วประมาณ 2 ปีแต่ก็ยังไม่ค่อยประสบความสำเร็จ ซึ่งในส่วนของนาโนไฟแนนซ์มองว่าเป็นการติดตามหนี้ยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอทำให้เกิดหนี้เสียมากและไม่คุ้มดอกเบี้ยรับ ขณะที่พิโกไฟแนนซ์นั้น ดำเนินธุรกิจเป็นรายจังหวัดเป็นลูกค้าที่ไซส์เล็กมีจำนวนมาก ต่างเซกเมนต์มาก หากคุมสเกลได้ไม่ดีก็จะไม่คุ้มต้นทุน แต่ด้วยความที่เคทีซีเองก็มีจุดแข็งทั้งด้านการอนุมัติและการติดตามหนี้ ประกอบกับเรามีโมเดลในการทำธุรกิจอยู่แล้วหลังจากที่มองธุรกิจนี้มากว่า 2 ปีแล้ว ส่วนผลจะเป็นอย่างไรนั้นคงต้องรอให้เริ่มธุรกิจไป 2-3 ไตรมาสก็น่าจะมองภาพได้ชัดเจนขึ้น
"ในเรื่องของ2ธุรกิจนักลงทุนต่างชาติก็ให้ความสนใจมาก จากการที่เคทีซีไปโรดโชว์ที่ประเทศสหรัฐฯเมื่อปลายเดือนก่อน ก็มีนักลงทุนสอบถามมามาก และมีแผนที่จะไปฮ่องกง และญี่ปุ่นต่อซึ่งคาดว่าจะได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากนักลงทุน ทั้งนี้ หากดูสัดส่วนการถือหุ้นของนักลงทุนต่างชาติปัจจุบันพบว่าอยู่ที่เกือบ 5% ซึ่งลดลงหากเทียบกับก่อนหน้าที่นักลงทุนต่างชาติมีสัดส่วนการถือครองหุ้นสูงสุดอยู่ที่ระดับ 10.5% เนื่องจากมีบางส่วนขายทำกำไรออกมาหลังราคาสูงขึ้น แต่ในอนาคตน่าจะเห็นสัดส่วนการถือหุ้นการถือหุ้นของนักลงทุนต่างชาติเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง"