เจ้าที่แรง! หุ้น BEAUTY ฟื้นตัวเร็วๆ แรงซื้อทะลักดันวอลุ่มเทรด 2.55 พันล้านบาท แบบไร้สาเหตุ ลือทั่วห้องค้าเม็ดเงินต่างแดนที่ทะลักเข้าตลาดช่วยหนุนหลังแตะจุดต่ำสุด แถมผู้บริหารกลับมาดอดเก็บหุ้น ผลักดันราคากลับมายืนเหนือ 4.00 บาท ทั้งที่แนวโน้มธุรกิจยังมีความเสี่ยง
ปาฏิหาริย์มีจริงเสมอ แม้แต่ในวงการตลาดหุ้นก็ยังมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น โดยกรณีที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด หนีไม่พ้นหุ้นของ บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน) (BEAUTY) หุ้นเครื่องสำอางชื่อดังประจำวงการ หลังจากก่อนหน้านี้หลังบริษัทประกาศผลดำเนินงานไตรมาสแรกปี2562 ออกมาได้อย่างน่าผิดหวัง เมื่อตัวเลขรายได้ และกำไรสุทธิปรับตัวลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนอย่างมาก อีกทั้งยังมีข่าวว่าผู้บริหารและกองทุนเทขายหุ้นออกมา จนทำให้ราคาหุ้นทรุดตัวอย่างหนักจากที่เคลื่อนไหวในระดับ 7.00 บาท จนมาอยู่ที่ระดับต่ำสุดในรอบ 3ปี ด้วยราคา 3.56 บาท/หุ้น (27พ.ค.2562)
แต่จากนั้นเพียงแค่คืนเดียว เมื่อตลาดเปิดทำการซื้อขายอีกครั้ง หุ้น BEAUTY กลับมาคึกคักด้วยวอลุ่มเทรด 2.55 พันล้านบาท จนผลักดันให้ราคาหุ้นรีบาวนด์ขึ้นมาปิดตลาด (28พ.ค.2562) ที่ระดับ 4.04 บาท/หุ้น เพิ่มขึ้น 13.48% เรียกว่าสร้างความมึนงงให้แก่นักลงทุน จนต้องร้องถามหาแหล่งที่มาของกำลังภายในการผลักดันหุ้นเครื่องสำอางแห่งนี้มาจากที่ใด**
แน่นอน การฟื้นตัวรอบนี้ของ BEAUTY ช่วยสร้างกำลังใจให้นักลงทุนที่ถืออยู่ก่อนหน้าไม่ใช่น้อย เพราะการลดลงของราคาหุ้นครั้งล่าสุด หลายฝ่ายยังเชื่อว่าคงต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่กว่าราคาหุ้นจะกลับไปจุดเดิมได้ แต่เมื่อมีแรงซื้อชนิดฟ้ามาโปรดกระตุ้นราคาให้กระเตื้องขึ้น หลายรายเลือกที่จะตัดสินใจปล่อยขาย Cut Loss ขายทุนนิดหน่อยยังดีกว่าขาดทุน แต่บางส่วนยังเลือกที่จะกอดหุ้นไว้ แล้วเฝ้าภาวนาให้แรงซื้อปริศนายังคงอยู่และช่วยผลักดันให้ BEAUTYกลับไปยืนอยู่ ณ จุดเดิมที่ระดับประมาณ 7.00 บาทอีกครั้ง
**ไม่เพียงเท่านี้ มีข่าวลือว่าการฟื้นตัวของราคาหุ้น BEAUTY รอบนี้มาจากเม็ดเงินลงทุนต่างประเทศที่ไหลเข้ามาเทรดในตลาดหุ้นไทยร่วม 2 แสนล้านบาท(28 พ.ค. 2562) ซึ่งมาจากแรงซื้อสุทธิของนักลงทุนต่างชาติซื้อกว่า 1.25 หมื่นล้านบาท หลัง MSCI ปรับน้ำหนักการลงทุนในหุ้นไทยเพิ่มจาก 2.43% เป็น 2.9% ** โดยนำการลงทุนผ่าน NVDR เข้ามาคำนวณด้วย ส่งผลให้บริษัทจดทะเบียนของไทยได้รับเลือกเข้าสู่การคำนวณมากขึ้น แม้มีหุ้นส่วนหนึ่งถูกคัดออกจากการคำนวณก็ตาม แต่ก็มีเสียงคัดค้านว่าแม้จะมีเม็ดเงินจำนวนมากเข้ามาสู่ตลาด แต่กับ BEAUTY ที่กำลังเผชิญปัญหา ไม่น่าจะถูกหยิบยก ขึ้นมาเป็นหุ้นที่น่าสนใจลงทุนมากนัก
ขณะเดียวกัน ยังมีนักลงทุนบางส่วนเชื่อว่า **การดีดตัวของราคาหุ้น BEAUTY รอบนี้มาจากความเห็นของนักวิเคราะห์ก่อนหน้านี้ซึ่งเชื่อราคาหุ้นระดับ3.56 - 3.74 บาท/หุ้น ถือเป็นจุดต่ำสุดของหุ้นในรอบนี้** แล้วทำให้มีความน่าสนใจเข้าลงทุน จึงเกิดแรงซื้อเข้ามาผลักดันให้ BEAUTY ปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกครั้ง **รวมถึงยังมีข่าวลือว่า อีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้หุ้นBEAUTY เนื่องจากเมื่อเร็วๆนี้ มีผู้บริหารของบริษัทเข้ามาเก็บหุ้น หลังจากราคาได้ปรับตัวลดลงไปมากกว่า 4.00 บาท/หุ้น จึงทำให้เกิดแรงซื้อตามเข้าไปจำนวนมาก**
แต่ที่พอจะรับฟังได้ สำหรับการปรับตัวขึ้นของ BEAUTY น่าจะเป็นกรณีที่ข่าวว่า BEAUTY และบมจ.คาร์มาร์ท (KAMART) ได้ร่วมมือกันทางธุรกิจ โดยเปิดทางให้สินค้าของ KAMART เข้ามาวางจำหน่ายในร้าน BEAUTY BUFFET ได้ ซึ่งเป็นการเพิ่มช่องทางการขายให้กับ KAMART และยังเป็นการเพิ่มสินค้าให้มีความหลากหลายมากขึ้นในร้าน BEAUTY BUFFET ด้วยทำให้นอกจากหุ้น BEAUTY ที่ปรับตัวขึ้นแล้ว ราคาหุ้น KAMART (28พ.ค.) ก็ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.18 บาท มาปิดที่ระดับ 4.36 บาท/หุ้น หรือเพิ่มขึ้น 4.31% ด้วยเช่นกันโดยมีปริมาณซื้อขาย 17.08 ล้านบาท
ก่อนหน้านี้ BEAUTY ประการผลดำเนินงานไตรมาส1/62ว่ามีรายได้รวม 548.7 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 904.9 ล้านบาท ลดลง 39.4% และมีกำไรสุทธิ 69.6 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 282.4 ล้านบาท คิดเป็นลดลง 75.4% โดยให้เหตุผลว่าตลาดในประเทศเกิดความไม่เชื่อมั่นต่อกระแสข่าวผลิตภัณฑ์อาหารเสริมและเครื่องสำอางของบริษัทอื่นที่ไม่ผ่านมาตรฐาน องค์การอาหารและยา (อย.)ส่งผลกระทบให้มีความระมัดระวังการซื้อมากขึ้นในการเลือกซื้อสินค้า แต่บริษัทมองว่าจะเป็นผลดีในระยะยาวต่อสินค้าของบริษัทที่ผลิตถูกต้องทุกรายการ อีกทั้งจำนวนนักท่องเที่ยวจีนในช่วงที่ผ่านมาลดลงเป็นจำนวนมากส่งผลให้ยอดซื้อลดลงด้วย
ขณะที่ตลาดต่างประเทศยังคงได้รับผลกระทบจากกระแสข่าวเรื่อง อย.ปราบปรามสินค้าไม่ได้มาตรฐานของบริษัทอื่น ทำให้การส่งออกสินค้าทุกประเภทไปจีนล่าช้า ส่วนลูกค้าขายส่งของบริษัทต้องใช้ระยะเวลาในการนำสินค้าเข้าไปจำหน่ายยาวนานกว่าเดิม อีกทั้งประเทศจีนมีการออกกฎหมายใหม่เก็บภาษีสินค้าขายผ่านออนไลน์ ส่งผลต่อปริมาณสั่งซื้อ
**และจากการปรับตัวลดลงจนถึงระดับต่ำสุด 3.56 บาท/หุ้น ยังพบว่ามูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) จากสิ้นปี 2560 ที่ระดับ 6.24 หมื่นล้านบาทของบริษัทปรับตัวลดลงด้วยเช่นกัน โดยอยู่ที่ระดับ 1.13 หมื่นล้านบาท หรือหายไปกว่า 5 หมื่นล้านบาท**
สถิติที่น่าสนใจ สำหรับราคาหุ้น BEAUTY คือ เดิมทีเคยทำจุดสูงสุด (New High) ที่ระดับ 23.70 บาท/หุ้น (ณ 30 เม.ย. 2561) แต่จากนั้นราคาหุ้นทยอยปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยที่ผ่านมาหุ้น BEAUTY ถือเป็นหุ้นที่สร้างการเติบโตสูงอย่างมาก สาเหตุมาจากการเติบโตของกำไรสุทธิที่ทำจุดสูงสุดต่อเนื่องทุกปี นับตั้งแต่ปี 2555 ที่มีกำไรสุทธิ 173.70 ล้านบาท เป็น 1,229.32 ล้านบาทในปี 2560
ขณะที่ปี 2561 BEAUTY มีรายได้รวม 3.50 พันล้านบาท ลดลงจากปี 2560 ที่มีรายได้ 3.73 พันล้านบาท มีกำไรสุทธิ 991.59 ล้านบาท ลดลงจากปี 2560 ที่มีกำไรสุทธิ 1.22 พันล้านบาท โดยมีค่า P/E ประมาณ 16 เท่า ขณะที่อัตราเงินปันผลตอบแทนอยู่ในระดับประมาณ 6% ทำให้ถ้าพิจารณาปัจจัยพื้นฐานของ BEAUTY ในขณะนี้ ถือว่าน่าสนใจ เพราะค่า P/E ไม่แพงเกินไป
**แต่สิ่งที่นักวิเคราะห์หลักทรัพย์โบรกเกอร์สำนักต่างๆในช่วงเวลานั้น ประเมินคือ แนวโน้มผลประกอบการหุ้นกลุ่มความงามจะชะลอตัว ยอดรายได้หด กำไรลด ส่งผลให้ปัจจัยพื้นฐานในอนาคตอ่อนแอลง จนต้องมีปรับมุมมองบริษัทใหม่ และส่วนใหญ่เลือกที่จะไม่แนะนำให้เข้าสะสม อีกทั้งโบรกเกอร์บางค่ายได้ปรับลดราคาเป้าหมายลง หรือแนะนำให้มองข้ามผ่านหุ้นกลุ่มนี้ไปชั่วคราว รอจนกว่าการปรับฐานจะสะเด็ดน้ำ หรือรอให้ผลประกอบการฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญเพราะโอกาสทำกำไรมีความเป็นไปได้น้อยมาก จะเข้าไปเสี่ยงทำไม?**
อย่างไรก็ตาม หากช่วงเวลาต่อจากนี้ ราคาหุ้น BEAUTY ยังสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง โดยที่ยังไม่มีมูลเหตุหรือสาเหตุที่ชัดเจนบ่งบอก ฟากกูรูด้านการลงทุนหลายรายแนะนำว่า หากคืนทุนแล้วก็ไม่ควรนิ่งนอนใจ ถอยออกมาเพื่อรอดูความชัดเจนอีกครั้งก็ไม่น่าเสียหาย หรือจะดีกว่านั้นควรยกเครดิตให้กับแรงซื้อปริศนาที่ใครต่อใครเขาลือกันว่านี่คืออีกหนึ่งหุ้น ** “เจ้าที่แรง!!” **