xs
xsm
sm
md
lg

เศรษฐกิจไทยโต 4% แค่ฝันหวาน ภาครัฐ-เอกชน จ้องหั่นจีดีพีรอบใหม่

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ผู้จัดการรายวัน 360 - ภาพรวมครึ่งปีแรก2562 เศรษฐกิจประเทศไทยมีทรงกับทรุด แม้จะผ่านพ้นการการเลือกตั้งไปเรียบร้อยแล้ว เหตุหวั่นรัฐบาลใหม่ไร้เสถียรภาพ ภาคเอกชนไม่กล้าลงทุน ภาคประชาชนรายได้ไม่พอใช้ คาดรัฐออกมาตรการกระตุ้น แต่ทำได้ค่าประคองตัว ส่วนภาพรวมทั้งปีโอกาสเติบโต4% ตามเป้าหมายเดิมยาก ขณะที่ทั้งหน่วยงานรัฐ-เอกชน เตรียมทบทวนตัวเลขครึ่งปีแรก ก่อนจะปรับลดประมาณการจีดีพีใหม่อีกรอบ

สภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว รวมถึงปัญหาภายในประเทศ ส่งผลให้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในปี 2562 ที่เคยตั้งเป้าไว้ 4% ดูเหมือนจะไม่มีทางเป็นไปได้ หลังจากตัวเลขสำคัญๆทางเศรษฐกิจในไตรมาสแรกที่ผ่านมาต่างปรับตัวลดลง จึงกลายเป็นงานที่หนักสำหรับรัฐบาลชุดใหม่ที่จะเข้ามาแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นเพราะภาวะเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน แม้จะไม่เข้าวิกฤต แต่ก็ย่ำแย่ไม่น้อย เห็นได้จากอัตราการเติบโตอยู่ในระดับที่ต่ำสุด หรือต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคเดียวกันเสียด้วยซ้ำ

เริ่มที่ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ปรับลดคาดการณ์อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย (GDP) ไทยปี 2562 เหลือโต 3.8% จากก่อนหน้านี้คาดเติบโต 4.0% หลังคาดมูลค่าการส่งออกหดตัวเหลือโต 3.4% จากเดิมคาดจะขยายตัวได้ 4.5% ตามทิศทางการชะลอตัวของเศรษฐกิจและการค้าโลก และนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ รวมถึงการตอบโต้จากประเทศต่างๆ
 

นอกจากนี้ยังมีความวิตกกังวลของผู้บริโภคเกี่ยวกับการจัดตั้งรัฐบาลและสถานการณ์ทางการเมืองในอนาคตอาจมีความไม่แน่นอนและขาดเสถียรภาพ และความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ภัยแล้งที่อาจส่งผลกระทบต่อพืชผลทางการเกษตรและการหารายได้ของประชาชน รวมถึงระดับราคาน้ำมันขายปลีกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น แรงกระเพื่อมเริ่มมีต่อเนื่อง เมื่อ “ทิตนันทิ์ มัลลิกะมาส” ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในฐานะเลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) รายงานว่า ที่ประชุม กนง.มีมติเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 1.75% ต่อปี โดยประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้ที่ 3.8% เพราะการส่งออกและการลงทุนลดลงจากเศรษฐกิจโลกผันผวน ขณะที่ปัจจัยในประเทศคือเรื่องการลงทุนของภาครัฐและเอกชน ที่เป็นผลจากความไม่แน่นอนทางการเมือง ทำให้การปรับประมาณการจีดีพีรอบใหม่จะเกิดขึ้น26มิ.ย.นี้ 

สอดคล้องกับ “ดอน นาครทรรพ” ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธปท. ยอมรับว่าไตรมาสแรก จีดีพีมีโอกาสโตต่ำกว่า 3.4% ที่ ธปท.ได้คาดการณ์ไว้ก่อน และอาจต่อเนื่องจนถึงไตรมาส2 ที่คาดอยู่ที่ระดับ 3% ด้วย เพราะแนวโน้มไตรมาส 2 เศรษฐกิจจะขยายตัวไม่ได้ดีมาก เนื่องจากภาคส่งออกยังคงติดลบ ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนยังคาดการณ์ได้ยากอยู่ มีเพียงภาคท่องเที่ยวที่เป็นบวกดีขึ้น

เหตุการณ์ดังกล่าวยิ่งหนักขึ้น เมื่อ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบไปด้วย ส.อ.ท. หอการค้าไทย และสมาคมธนาคารไทย รายงานว่า ที่ประชุมเห็นว่าเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรก ขยายตัวต่ำกว่าในไตรมาสที่ 4 ปี 2561 ที่ขยายตัว 3.7% จากการส่งออกหดตัว ส่งผลกระทบต่อการผลิตภาคอุตสาหกรรม

นอกจากนี้ การท่องเที่ยวเติบโตในทิศทางชะลอตัว รวมถึงการใช้จ่ายภายในประเทศทั้งการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน ทำให้ในช่วงที่เหลือของปี 2562 มองว่า แนวโน้มการส่งออกของไทยจะยังคงถูกกดดันจากทิศทางเศรษฐกิจโลกที่ไม่แน่นอน จากภาวการณ์ชะลอตัวของเศรษฐกิจหลักอย่างสหรัฐฯ จีน สหภาพยุโรป เนื่องจากข้อพิพาททางการค้ามีแนวโน้มจะกลับมาปะทุขึ้นอีกครั้ง

ขณะเดียวกันแม้จะมีมาตรการพยุงเศรษฐกิจของภาครัฐ ทั้งมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยและมาตรการด้านภาษี คาดว่าจะมีส่วนช่วยประคองเศรษฐกิจในช่วงรอยต่อทางการเมืองได้ระดับหนึ่ง แต่ทิศทางการใช้จ่ายภายในประเทศหลังจากนี้ โดยเฉพาะการลงทุนของภาครัฐและเอกชน ยังคงต้องรอความชัดเจนทางการเมืองและนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่

เหมือนกับ “ศูนย์วิจัยกสิกรไทย” ซึ่งก่อนหน้านี้ ได้ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2562 ลงมาที่ 3.7% จากเดิมที่ 4.0% พร้อม เชื่อว่าโจทย์แรกของรัฐบาลชุดใหม่ที่เข้ามาแก้ไข คือการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งคาดว่าทำผ่าน 3 มาตรการได้แก่ มาตรการช่วยเหลือเกษตรกร, การเพิ่มสวัสดิการผู้มีรายได้ และมาตรการหักลดหย่อนภาษี โดยอาจจะทำทั้งหมดหรือบางข้อก็ได้ แต่จะเป็นมาตรการระยะสั้นที่เม็ดเงินหลักหมื่นล้านบาทหรือประมาณ 2-3 หมื่นล้านบาท จึงประเมินว่าจะช่วยกระตุ้นจีดีพี 0.2-0.4% และน่าจะมีผลช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ในไตรมาส 4 นั่นหมายถึงจะทำให้จีดีพีในครึ่งปีหลังเติบโตได้ดีกว่าครึ่งปีแรกที่ใกล้ๆ 4% จากคาดการณ์ครึ่งปีแรกที่ 3.3%

“พชรพจน์ นันทรามาศ” ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส สายงาน Global Business Development and Strategy ธนาคารกรุงไทย วิเคราะห์ว่า เศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงที่จะโตไม่ถึงเป้า 3.8% เนื่องจากในครึ่งปีแรก "ชะลอตัว" กว่าที่คาดไว้ว่าจะโตได้ 3-3.5% ส่วนจีดีพีในไตรมาส 2 ไม่น่าจะแย่ และหากต้องการให้เศรษฐกิจโตได้ตามเป้าปีนี้ ในช่วงครึ่งปีหลังจะต้องกระตุ้นให้เติบโตได้ 4.5% ถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก แม้ว่าภาพรวมการส่งออกจะเริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น แต่เศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าอย่างจีน ยังไม่ได้กลับมาเติบโตมากนัก และถึงแม้จะมีการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ แต่เศรษฐกิจไทยจะยังฟื้นตัวไม่ได้เร็วและแรงนัก

ส่วนด้านวงการตลาดทุน “ไพบูลย์ นลินทรางกูร” ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย แสดงความเห็นถึงดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) ประจำเดือนพฤษภาคมว่า ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้าปรับตัวลดลงเล็กน้อยอยู่ในเกณฑ์ทรงตัว (Neutral) เป็นเดือนที่สอง โดยพบว่าปัจจัยในประเทศจากสถานการณ์การเมืองภายหลังการเลือกตั้ง เป็นปัจจัยหนุนความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด ขณะที่เสถียรภาพรัฐบาลใหม่หลังเลือกตั้งและผลการเจรจานโยบายการค้าระหว่างสหรัฐและจีน เป็นปัจจัยฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุน

อย่างไรก็ตามสถานการณ์เศรษฐกิจถดถอยไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะแต่ในประเทศไทยเท่านั้น เนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจโลกชะลอตัวทำให้ในหลายประเทศต่างเร่งแก้ไข หรือออกมาตรการรับมือเรื่องดังกล่าวด้วยเช่นกัน เห็นได้จาก “ศรชัย สุเนต์ตา” ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ศูนย์วิเคราะห์ข้อมูลด้านการลงทุนและที่ปรึกษาการลงทุน (CIO Office) ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) กล่าวว่า ปีนี้เศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ ของโลก มีแนวโน้มเติบโตชะลอลงในทิศทางเดียวกัน (Synchronize Slowdown) สอดคล้องกับที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลก (GDP) ในปี 62 ลงอยู่ที่ 3.3% จาก 3.5% 
 
ขณะที่ธนาคารกลางหลัก ๆ ทั่วโลก ยังคงดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้นในไตรมาส 2/62 ซึ่งส่งผลให้สภาพคล่องในระบบปรับเพิ่มขึ้น เนื่องจากการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และธนาคารกลางจีน (PBoC) ซึ่งเศรษฐกิจมีขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับเศรษฐกิจโลก ทำให้มองว่าอัตราดอกเบี้ย ยังมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำ

แต่อย่างไรก็ตามหากเครื่องชี้วัดต่าง ๆ ในช่วง 3-4 เดือนข้างหน้า บ่งชี้ถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง เฟดอาจส่งสัญญาณเปลี่ยนมุมมองต่อนโยบายการเงิน (Monetary Policy Stance) เป็นโทนเชิงเข้มงวดมากขึ้น (Hawkish) เพื่อเตือนตลาด

ขณะที่เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวชะลอลง โดย SCB-EIC คาดการณ์ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ในปี 62 อยู่ที่ 3.6% ลดลงจากคาดการณ์เดิมที่ 3.8% จากการส่งออกสินค้าที่ลดลงมากกว่าคาด ขณะที่กนง. มีแนวโน้มคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 1.75% ตลอดปีนี้ เนื่องจากเศรษฐกิจชะลอลงมากกว่าคาด และอัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำ

จากภาพรวมดังกล่าว คงต้องจับตาดูว่ารัฐบาลใหม่ที่ได้มาจากการเลือกตั้ง จะใช้วิธีใดเข้ามาแก้ไขวิกฤตเศรษฐกิจของประเทศที่ชะลอตัวอยู่ในขณะนี้ เพราะความเชื่อมั่นของประชาชน และภาคเอกชน นับวันมีแต่ถดถอยลงไปเรื่อยๆ ปล่อยให้ช้าไว้คงไม่เข้าที ท้ายที่สุดจากบวกอาจการเป็นลบได้


กำลังโหลดความคิดเห็น