นับตั้งแต่ก่อตั้งตลาดหุ้นในรอบ 44 ปี นักลงทุนรายย่อยครองสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายหุ้นมากที่สุดมาตลอด แต่ปัจจุบันได้สูญเสียตำแหน่งให้นักลงทุนต่างชาติไปแล้ว โดยมูลค่าการซื้อขายหุ้นของต่างชาติพุ่งขึ้นแซงหน้า
มูลค่าการซื้อขายหุ้นนักลงทุนรายกลุ่มปีนี้ สิ้นสุดวันที่ 15 พฤษภาคม นักลงทุนต่างชาติมีสัดส่วนการซื้อขายประมาณ 40% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมด
นักลงทุนรายย่อยมีสัดส่วนการซื้อขายประมาณ 35% นักลงทุนสถาบันซึ่งส่วนใหญ่เป็นกองทุนรวม มีมูลค่าซื้อขายประมาณ 12% เศษ ใกล้เคียงกับมูลค่าการซื้อขายของพอร์ตโบรกเกอร์
ย้อนหลังประมาณ 25 ปี นักลงทุนรายย่อยคือผู้ซื้อขายหุ้นรายใหญ่ โดยครองสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายเกือบ 70% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมด นักลงทุนต่างประเทศมีสัดส่วนการซื้อขายประมาณ 25% และกองทุนรวมในประเทศมีมูลค่าการซื้อขายประมาณ 5% โดยยังมีการแยกรายการซื้อขายของพอร์ตโบรกเกอร์
โครงสร้างนักลงทุนรายกลุ่มที่มีรายย่อยจำนวนมาก ทำให้ตลาดหุ้นมีความเปราะบาง เกิดความผันผวนรุนแรงได้ง่าย เพราะหากมีปัจจัยลบกระทบ นักลงทุนรายย่อยเกิดความตื่นตกใจ พากันเทขายหุ้นหนีตาย ตลาดหุ้นจะทรุดตัวลงหนัก ตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงพยายามสร้างนักลงทุนสถาบัน ส่งเสริมสนับสนุนการลงทุนผ่านกองทุนรวม
เพราะเมื่อกองทุนรวมเติบโต จะทำให้ตลาดหุ้นมีเสถียรภาพมากขึ้น ไม่เกิดความผันผวนรุนแรง และจะช่วยถ่วงดุลนักลงทุนต่างชาติ
ในอดีตต่างชาติมีอิทธิพลต่อการขึ้นลงของตลาดหุ้น โดยหากเข้ามาลุยซื้อ หุ้นจะปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรง แต่หากต่างชาติเทขาย หุ้นจะทรุดตัวหนัก ทำให้นักลงทุนรายย่อยได้รับความเสียหาย
แต่กองทุนรวมเติบโตช้า แม้นักลงทุนจะหันไปลงทุนผ่านกองทุนรวมมากขึ้นก็ตาม สัดส่วนการซื้อขายหุ้นของกองทุนรวมจึงไม่เพียงพอที่จะสร้างเสถียรภาพตลาดได้ ขณะที่สัดส่วนการซื้อขายนักลงทุนต่างชาติพุ่งขึ้น จนกลายเป็นขาใหญ่ประจำตลาดหุ้นไทยอย่างเต็มตัว
การที่ต่างชาติครองสัดส่วนมูลค่าซื้อขายสูงสุด ไม่ใช่เพราะจำนวนนักลงทุนต่างชาติมีมากขึ้น หรือมีเงินทุนไหลกลับเข้ามา แต่เกิดจากการเปลี่ยนพฤติกรรมการลงทุนของต่างชาติ จากการลงทุนระยะยาว หันมาเก็งกำไรระยะสั้น โดยมีคำสั่งซื้อขายถี่มากขึ้น
สำหรับสัดส่วนการซื้อขายของนักลงทุนรายย่อยที่ลดลง เป็นเพราะจำนวนนักลงทุนรายย่อยลดความถี่ในการซื้อขายลง และบางส่วนทยอยถอนตัวออกจากตลาดหุ้น เพราะทนแบกรับความเสียหายไม่ไหว เล่นหุ้นสู้นักลงทุนกลุ่มอื่นไม่ได้
นักลงทุนต่างชาติส่วนใหญ่เป็นนักเก็งกำไรระยะสั้น เข้ามาในตลาดหุ้นไทยพร้อมอาวุธใหม่ โดยซื้อขายด้วยปัญญาประดิษฐ์ หรือโปรแกรมการซื้อขายระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งตัดสินใจและสั่งการได้รวดเร็วกว่ามนุษย์ ภายใต้ข้อผิดพลาดที่น้อยกว่า
นอกจากนั้น ยังได้รับเงื่อนไขต้นทุนการซื้อขายที่ต่ำกว่านักลงทุนรายย่อย โดยอัตราค่านายหน้าซื้อขายหุ้น สำหรับนักลงทุนต่างชาติรายใหญ่ ผ่านโปรแกรมคอมพิวเตอร์จะอยู่ที่ประมาณ 1 สตางค์เศษของมูลค่าการซื้อขายหุ้น หรือคิดค่าธรรมเนียมเพียง 100 บาทเศษต่อมูลค่าการซื้อขายหุ้นวงเงิน 1 ล้านบาทเท่านั้น
ต้นทุนที่ต่ำกว่า ทำให้ต่างชาติมีความได้เปรียบ เพราะไม่ต้องกังวลกับค่านายหน้ามากนัก สามารถสั่งซื้อขายหุ้นได้ถี่ยิบ และทำกำไรได้ทันที หากราคาหุ้นปรับตัวขึ้นเพียง 1 ช่วงราคาเท่านั้น
แม้นักลงทุนรายย่อยจะหันไปใช้โปรแกรมการซื้อขายคอมพิวเตอร์มากขึ้น แต่ยังเสียเปรียบในด้านต้นทุนค่าธรรมเนียมการซื้อขายอยู่ดี เมื่อสู้ไม่ได้ ต้องถอดใจ หันหลังจากการเป็นนักเก็งกำไรระยะสั้น หรือเลิกราจากตลาดหุ้นไปโดยปริยาย
สัดส่วนมูลค่าการซื้อขายของนักลงทุนรายย่อยที่ลดฮวบมาเหลือเพียงประมาณ 35% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมด เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นว่า นักลงทุนกำลังล่าถอยจากตลาดหุ้น และมีแนวโน้มที่จะสูญพันธุ์ไปเรื่อยๆ
เล่นหุ้นแล้วสู้ไม่ได้ ขืนยืนสู้อยู่ต่อไป มีแต่หมดเนื้อหมดตัว ถอดใจเลิกเสียดีกว่า
เมื่อขาดรายย่อย บรรดาบริษัทโบรกเกอร์ต่างได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้า ต้องแข่งขันหารายได้เพื่อความอยู่รอด เพราะเก็บเกี่ยวรายได้ค่านายหน้าซื้อขายหุ้นจากรายย่อยมากที่สุด ส่วนต่างชาติจ่ายค่านายหน้าในอัตราต่ำสุด
แม้จะมีฐานลูกค้าต่างชาติมากขึ้น แต่อาจชดเชยฐานลูกค้ารายย่อยที่หดลงได้
การสูญพันธุ์ของนักลงทุนรายย่อย กำลังจะทำให้โบรกเกอร์บางส่วนมีอันเป็นไป เพราะแบกขาดทุนจนอยู่ไม่ได้