อัตราการเติบโตของใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ หรือเดริเวทีฟ วอร์แรนต์ (Derivative Warrants : DW) พุ่งขึ้นอย่างน่าใจหาย โดย 4 เดือนแรกปีนี้ มีมูลค่าการซื้อขายเพิ่มขึ้นเป็น 10.11% ของมูลค่าการซื้อขายหุ้น สะท้อนให้เห็นว่า นักลงทุนแห่เข้ามาเก็งกำไรมากขึ้น
มูลค่าการซื้อขาย DW 4 เดือนแรกมีจำนวนทั้งสิ้น 3.62 แสนล้านบาท หรือเฉลี่ยวันละ 4,472 ล้านบาท โดย DW SET50 ได้รับความนิยมสูงสุด
สัดส่วนการซื้อขาย DW เกิดจากการซื้อขายด้วยระบบ ROBOT หรือโปรแกรมการซื้อขายอัตโนมัติ ซึ่งคาดว่ามีมูลค่าการซื้อขายประมาณ 50% ของมูลค่าซื้อขาย DW ทั้งหมด
นักลงทุนที่หันมาเล่น DW ส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนรุ่นใหม่ วัยหนุ่มสาว นิยมเก็งกำไรในลักษณะได้เสีย และหากเล่นได้ถูกจังหวะเวลา สามารถกอบโกยความมั่งคั่งได้ในเวลารวดเร็ว แต่ถ้าเก็งพลาด จะเสียหายหนัก
DW เล่นได้ทั้งขาขึ้นและขาลง โดยใช้หลักทรัพย์ค้ำประกันต่ำ แต่มีวงเงินในการเก็งกำไรสูง นักเก็งกำไรระยะสั้นวัยหนุ่มสาวจึงเบนเข็มมาเล่น DW
โบรกเกอร์ที่ออก DW ทำหน้าที่เป็นมาร์เกต เมกเกอร์ หรือคนดูแลสภาพคล่องในการซื้อขาย เพราะ DW หุ้นบางตัวหรือบางรุ่น อาจไม่มีสภาพคล่อง ซึ่งในช่วงที่ราคาหุ้นผันผวนรุนแรง โบรกเกอร์ได้รับความเสียหายหนักเหมือนกัน โดยโบรกเกอร์บางแห่งเสียหายนับร้อยล้านบาท จากความผันผวนของ DW หุ้นบางตัว
จำนวน DW ปัจจุบันถูกผลิตออกมานับไม่ถ้วน โดยรวมมีประมาณ 1,500 รุ่น และโบรกเกอร์ที่สามารถเรียกลูกค้าเข้ามาเก็งกำไรได้ จะออก DW ไม่หยุด เพื่อเพิ่มตัวเลือกในการเก็งกำไร และเป็นการดิ้นรนเพิ่มช่องทางหารายได้เพื่อความอยู่รอด
แต่โบรกเกอร์บางแห่ง ไม่ส่งเสริมให้ลูกค้าเล่น DW เพราะเห็นถึงอันตราย เพราะเป็นตราสารเพื่อการเก็งกำไรล้วนๆ มีความเสี่ยงสูง
สำหรับจุดยืนของตลาดหลักทรัพย์ ให้น้ำหนักในการสนับสนุนการเก็งกำไร DW เพราะไม่มีคำเตือนความเสี่ยงภัยจากตราสารประเภทนี้ มีแต่ป้อนข้อมูลความรู้เกี่ยวกับ DW และพูดถึงตัวเลขการเติบโตด้วยความภาคภูมิใจ แต่พูดถึงความเสี่ยงและความเสียหายจากการเก็งกำไรน้อยมาก
วอลุ่ม DW ยิ่งโต ตลาดหลักทรัพย์ยิ่งได้ประโยชน์ เช่นเดียวกับวอลุ่มการซื้อขายหุ้น เนื่องจากจะมีรายได้จากค่าธรรมเนียมการซื้อขายหุ้นเพิ่ม โดยไม่ต้องแข่งขันลดค่าธรรมเนียมซื้อขายเหมือนโบรกเกอร์ เพราะตลาดหลักทรัพย์กำหนดอัตราค่าธรรมเนียมตายตัว
เมื่อมีรายได้เพิ่ม เงินเดือน สวัสดิการและโบนัสของพนักงานตลาดหลักทรัพย์ ทั้งระดับล่างและระดับบนจะเพิ่มขึ้นตาม โดยปี 2561 แม้ตลาดหุ้นจะซบเซา มูลค่าการซื้อขายหุ้นลดลง ดัชนีหุ้นทรุดลง 10.83% แต่ตลาดหลักทรัพย์จ่ายโบนัสประมาณ 13 เดือน อิ่มหนำสำราญกันถ้วนหน้า โดยไม่ต้องดิ้นรนแข่งขันเหมือนภาคเอกชน
ผลประโยชน์ที่ได้รับกันเต็มอิ่ม ทำให้นโยบายของตลาดหลักทรัพย์ เน้นหนักไปในการสร้างรายได้ มากกว่าการความเป็นห่วงเป็นใยความเสี่ยงของนักลงทุน การพัฒนาส่งเสริมหรือสนับสนุนผลิตภัณฑ์ใหม่มุ่งสู่การเก็งกำไร ภาคภูมิใจกับการอวดอ้างการเติบโตในเชิงปริมาณ รวมทั้งการรับหุ้นใหม่ที่ให้ความสำคัญในเชิงปริมาณมากกว่าการเฟ้นคุณภาพ
แนวโน้ม DW คงเติบโตต่อไป เพราะมีแต่การโหมกระพือกระตุ้นเชิญชวนให้เล่นตราสารประเภทนี้ โดยไม่มีใครออกมารณรงค์ เตือนนักลงทุนไม่ให้หลงระเริงเก็งกำไร
สัดส่วนมูลค่าการซื้อขายที่ขยับขึ้นเป็น 10% ของมูลค่าซื้อขายหุ้น เป็นตัวเลขที่สะท้อนให้เห็นว่า การเก็งกำไร DW โตขึ้นอย่างพรวดพราด และไม่ควรจะเป็นเรื่องที่น่ายินดีนัก
เพราะยิ่งโตมากขึ้นเท่าไหร่ ยิ่งตอกย้ำว่า นักลงทุนได้ปรับพฤติกรรมเป็นนักเก็งกำไรมากขึ้น และเป็นปรากฏการณ์ที่อันตรายสำหรับตลาดหุ้นไทย