xs
xsm
sm
md
lg

ส่องหุ้นไทย พ.ค. ยังบวกต่อ แนะจับตาการเมืองในประเทศ

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


บล.กสิกรไทย มองตลาดหุ้นไทยเดือนพฤษภาคมยังคงแกว่งตัวต่อเนื่อง ประเมินกรอบ SET INDEX ที่ 1,630-1,685 จุด แนะหุ้นกลุ่ม พลังงานต้นน้ำ สินค้าเกษตร ค้าปลีก และรับเหมาก่อสร้าง ยังคงได้รับอานิสงส์เชิงบวก ขณะที่ “เอเชีย พลัส” คาดดัชนีหุ้นไทยแกว่งกรอบ 1,680-1,690 จุด ชี้ปัญหาการเมืองภายในประเทศที่ยังคลุมเครือส่งผลให้ FundFlow ที่ควรจะไหลเข้าตลาดหุ้นไทย อยู่ในภาวะที่ชะงัก และจะต้องรอดูความชัดเจนต่อไป

นายภาสกร ลินมณีโชติ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงทางตลาดหุ้น และภาพรวมการลงทุนเดือน พ.ค. ว่า จากมุมมองของฝ่ายวิเคราะห์ ประเมินว่าแนวโน้มตลาดหุ้นเดือน พ.ค.จะเคลื่อนไหวแกว่งตัวในระดับประมาณ 1,630-1,685 จุด เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาตลาดได้ตอบรับปัจจัยบวกไปมากแล้ว ขณะที่ระยะถัดไปมองว่าตลาดจะมีปัจจัยสนับสนุนจากนโยบายการเงินของธนาคารกลางหลายแห่งในภูมิภาค ที่มีความผ่อนคลายมากขึ้นซึ่งจะสนับสนุนกระแสเงินทุนไหลเข้า

สำหรับปัจจัยด้านผลประกอบการไตรมาส 1/2562 น่าจะออกมาดีขึ้นกว่าในไตรมาส 4/2561 โดยเฉพาะในกลุ่มพลังงาน และปิโตรเคมี อันเนื่องมาจากการที่ราคาน้ำมันได้มีการปรับตัวสูงขึ้น และกำไรจากการสต็อกสินค้า ตามด้วยกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ จากการเร่งโอนก่อนมาตรการ LTV จะมีผลบังคับใช้ รวมถึงกลุ่มพาณิชย์ที่น่าจะมีการเติบโตของยอดขายจากสาขาเดิม

นอกจากนี้กลุ่มโรงไฟฟ้าที่น่าฟื้นตัวหลังจากผ่านช่วงปิดซ่อมบำรุง และการปรับเพิ่มค่า Ft อย่างไรก็ดีแม้คาดการณ์ว่าผลประกอบการไตรมาส 1/2562 จะดีขึ้นแต่ตลาดจะตอบรับในเชิงบวกต่อเมื่อผลประกอบการออกมาดีกว่าที่คาด

ในส่วนของด้านมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นของไทย ในระหว่างที่รอจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่จะช่วยลดผลกระทบจาก การลงทุน - การใช้จ่ายจากภาครัฐ ที่จะชะลอตัวในช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาลชุดใหม่ และการส่งออกของไทยที่อ่อนแอ

“นโยบายการเงินของธนาคารกลางหลายแห่งทั่วโลก มีแนวทางที่จะใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายโดยการตรึงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับต่ำ รวมถึงนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯที่จะยุติแผนลดขนาดงบดุลจะเป็นปัจจัยสนับสนุนเงินทุนไหลเข้าตลาดเกิดใหม่ รวมถึงไทย ขณะที่นโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนผ่านนโยบายการคลัง และการลดภาษี ตลอดจนถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นของไทยช่วงระหว่างที่รอจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ และเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มค่อยๆฟืนตัวต่อเนื่องจากภาคการบริโภค การลงทุนภาคเอกชน และการท่องเที่ยวจะเป็นกลุ่มที่เป็นปัจจัยบวกต่อการลงทุน ปัจจัยลบ ยังคงมาจากการส่งออกของไทยยังถือว่าอ่อนแอ โดยเป็นผลมาจากอุปสงค์ของประเทศคู่ค้าที่ลดลงจากเศรษฐกิจของจีนที่ชะลอตัว ซึ่งมองว่าการส่งออกจะเริ่มฟื้นตัวในช่วงครึ่งหลังของปี อย่างไรก็ตามประเมินว่าการลงทุน-การใช้จ่ายจากภาครัฐที่จะอ่อนแอลงในช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งKS research ให้กรอบการเคลื่อนไหวการลงทุนสำหรับเดือน พ.ค. ไว้ที่ 1,630-1,685 จุด โดยปัจจัยที่ต้องติดตามอยู่ที่การทำข้อตกลงข้อพิพาทสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน ซึ่งอาจจะส่งผลต่ออุปสงค์ของประเทศคู่ค้าของไทย และมีผลต่อบรรยากาศการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง”

ทั้งนี้ มุมมองต่อหุ้นที่ได้รับอานิสงส์ได้แก่หุ้นกลุ่มพลังงานต้นน้ำ เช่น PTTEP จะได้รับประโยชน์จากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันเนื่องจากสหรัฐฯเตรียมเข้มงวดกับมาตรการคว่ำบาตรอิหร่านมากขึ้น และหุ้นกลุ่มที่อิงกับการบริโภคต่างจังหวัดได้รับปัจจัยบวกจากการฟื้นตัวของยอดส่งออกกลุ่มสินค้าเกษตร ได้แก่ BJC ,CPALL ,GLOBAL ,ROBINS นอกจากนี้หุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ก็คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการที่ประเทศไทยอยู่ในช่วงของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ส่งผลให้กลุ่มรับเหมามีงานเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยหุ้นเด่นในกลุ่ม ได้แก่ STEC

ขณะที่กลุ่มหุ้นที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่หุ้นกลุ่มสายการบิน เนื่องจากการแข่งขันที่รุนแรง รวมถึงราคาน้ำมันซึ่งเป็นต้นทุนที่สำคัญมีทิศทางที่เพิ่มขึ้นจะเป็นปัจจัยกดดันกำไรของบริษัทในกลุ่มสายการบิน และกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจากค่าเงินบาทมีทิศทางแข็งค่า และต้นทุนทองแดงที่ปรับตัวสูงขึ้น

ด้านนายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส หรือ ASP กล่าวเพิ่มเติมว่า ในเดือน พ.ค. ประเด็นที่น่าจะอยู่ในความสนใจและมีอิทธิพลต่อทิศทางของ SETIndex มากที่สุดน่าจะเป็นสถานการณ์ทางการเมืองซึ่งก่อนหน้านี้ถูกคาดหวังว่าจะเห็นพัฒนาการเชิงบวกในการจัดตั้งรัฐบาล แต่ในข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นกลับพบว่าเมื่อเข้าใกล้วันที่ 9 พ.ค.ซึ่งถูกกำหนดว่าเป็นวันที่ กกต. ประกาศรับรองผลการเลือกตั้งไม่น้อยกว่า 95% (475คน) มีหลายเหตุการณ์ที่บ่งชี้ถึงแนวโน้มทางการเมืองที่ร้อนแรงขึ้นไม่ว่าจะเป็นการที่ กกต. แจกใบส้ม ให้จัดการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งเป็นการเลือกตั้งหลัง 9 พ.ค. และความไม่ชัดเจนเรื่อง ส.ส.บัญชีรายชื่อ รวมถึงกรณีของพรรคอนาคตใหม่ ส่งผลให้สถานการณ์แวดล้อมดังกล่าวน่าจะทำให้ FundFlow ที่ควรจะไหลเข้าตลาดหุ้นไทย อยู่ในภาวะที่ชะงัก และจะต้องรอดูความชัดเจน ซึ่งน่าจะส่งผลทำ ให้ดัชนี SET Index ยังต้องเคลื่อนไหวอยู่ภายใต้บริเวณ 1,680-1,690 จุดต่อไป

ส่วนประเด็นเชิงเศรษฐกิจที่ต้องติดตาม ได้แก่การเดินหน้าออกมาตรการกระตุ้นภาคเศรษฐกิจภายในประเทศ ของรัฐบาล โดยถูกคาดหมายว่าจะเห็นมาตรการใน 2 ภาคเศรษฐกิจหลักได้แก่ ภาคการท่องเที่ยว ซึ่งล่าสุดได้ต่ออายุมาตรการฟรีค่าธรรมเนียม VOA และน่าจะตามมาด้วยมาตรการภาษีและท่องเที่ยวเมืองรอง อีกภาคเศรษฐกิจหนึ่งได้แก่การบริโภคภาคครัวเรือน ซึ่งมีการกล่าวถึงโครงการชอปช่วยชาติ และการแจกเงินให้กับกลุ่มเป้าหมายเพื่อการจับจ่ายใช้สอย


กำลังโหลดความคิดเห็น