โนเบิลยุคผลัดใบ ชู 5 กลยุทธ์ก้าวสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน เร่งระบายสต๊อก งัดพื้นที่ค้าปลีกออกขายตุนเงินสด บุกตลาดต่างชาติ กระจายลงทุนแนวราบ แนวสูง ทั้งในและนอก CBD เร่งเปิดโครงการใหม่ หวังสร้างรายได้ - ยอดขาย ปีละ 10,000 ล้านบาท
นายธงชัย บุศราพันธ์ ประธานกรรมการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม และกรรมการผู้จัดการ บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOBLE เปิดเผยว่า หลังจากที่ได้ลาออกจากโนเบิลไปเมื่อ 7 ปีที่ผ่าน โดยได้เข้ามาถือหุ้นในสัดส่วน 23.3% พร้อมเปลี่ยนโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหม่พร้อมวางแผนการดำเนินงานเพื่อนำพาโนเบิลให้เติบโตอย่างยั่งยืน หลังจากที่ชะลอการเติบโตมานาน
สำหรับกลยุทธ์ในการก้าวสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนวางไว้ 5 ข้อได้แก่ 1. เร่งระบายสต๊อกที่มีอยู่ในปัจจุบัน 17,000 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นสต๊อกสร้างเสร็จพร้อมโอนจำนวน 6,000 ล้านบาท ซึ่งสต๊อกส่วนใหญ่บันทึกเป็นต้นทุนไปแล้วหากขายได้ก็จะสามารถบันทึกเป็นกำไรได้
2.บุกตลาดลูกค้าชาวต่างชาติ โดยจะอาศัยจุดแข็งของบริษัท เอ็นคราวน์ จำกัด ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ถือหุ้นต่างชาติที่เป็นนักลงทุนอสังหาริมทรัพย์ใน จีน ฮ่องกง สิงคโปร์และอื่นๆ และมีเครือข่ายที่เป็นบริษัทตัวแทนนายหน้าอสังหาฯกว่า 400 รายและมีตัวแทนรายย่อยกว่า 6,000 ราย ในจำนวนนี้อยู่ในจีนกว่า 80% ทำให้บริษัทเชื่อมั่นว่าจะสามารถสร้างยอดขายจากชาวต่างชาติราว 4,000 ล้านบาทในปีนี้ โดยไตรมาสแรกสามารถปิดยอดขายจากผู้ซื้อต่างประเทศได้แล้ว 1,500 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นผู้ซื้อชาวจีน 70% จากปีที่ผ่านมามียอดขายต่างชาติ 2,500 ล้านบาท เป็นชาวจีน 70%
3.ขยายการลงทุนโครงการที่อยู่อาศัยให้มีความหลากหลายกระจายทำเล ได้แก่ พัฒนาคอนโดมิเนียมไปในทำเลนอกเขตซีบีดี ที่ติดแนวรถไฟฟ้า การเดินทางสะดวก ขยายการลงทุนในตลาดระดับราคา 1-1.5 แสนบาท/ตารางเมตร การลงทุนโครงการระดับซุปเปอร์ลักชัวรี่ รวมถึงการลงทุนโครงการแนวราบระดับบน
4.นำพื้นที่ค้าปลีกในโครงการต่างๆที่ปล่อยเช่าในปัจจุบันจำนวน 4 โครงการ
มูลค่ารวมเกือบ 3,000 ล้านบาท มาขายเพื่อนำเม็ดเงินไปลงทุน และ 5. เร่งปิดโครงการใหม่เพื่อให้มีสินค้าเพียงพอต่อยอดรับรู้รายได้ปีละ 10,000 ล้านบาท ตามที่ได้วางเป้าหมายเอาไว้
“เราต้องการสร้างการเติบโตให้แก่โนเบิลอย่างต่อเนื่องหลังจากทรงตัวมากว่า 7 ปี จากปัญหาความเห็นไม่ตรงกันของกลุ่มผู้ถือหุ้นทำให้การบริหารงานและการลงทุนติดขัด แต่ภายหลังแก้ปัญหาของกลุ่มผู้ถือหุ้นได้แล้วก็พร้อมที่จะเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง แต่จะเป็นการเติบโตแบบยั่งยืน” นายธงชัยกล่าว
เป้าหมายการดำเนินงานในช่วง 3 ปีหลังจากนี้ บริษัทตั้งเป้ามียอดขายปีละไม่น้อยกว่า 10,000-12,000 ล้านบาท ยอดรับรู้รายได้ปีละ 10,000 ล้านบาท มีอัตราผลตอบแทนต่อหุ้นที่เพิ่มขึ้น 2 เท่าจาก 15% เป็น 30% และรักษาอัตราส่วนของหนี้ต่อทุนสุทธิที่ 1.5 เท่า ตั้งเป้าพัฒนาโครงการใหม่ปีละ 4-5 โครงการ จากเดิมปีละ 1-2 โครงการ เน้นกระจายการลงทุนไปในทุกทำเล ส่วนระดับราคาแรกจะยังเน้นที่คอนโดมิเนียมราคาเฉลี่ย 1-1.5 แสนบาท และ 2-2.5 แสนบาท/ตร.ม. รวมถึงการลงทุนพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวระดับไฮเอ็นสำหรับโครงการในอนาคต บริษัทจะมีการเลือกเฟ้นที่ดินที่จะลงทุนในทำเลที่มีศักยภาพสูง ติดกับแนวสถานีรถไฟฟ้า โดยได้ตั้งงบประมาณไว้ที่ 3,000 ล้านบาทต่อปีในการจัดซื้อที่ดินเพิ่มเติม
ส่วนแผนการลงทุนในปี 2562 ตั้งเป้าพัฒนาโครงการใหม่ 4-5 โครงการมูลค่ารวม 15,000 ล้านบาท อาทิ ทำเลทองหล่อ วิทยุ ซึ่งจะเริ่มทยอยเปิดขายตั้งแต่ไตรมาส 2 - ไตรมาส 4 โดยตั้งเป้ายอดขายในปี 2562 ไว้ที่ 10,000-12,000 ล้านบาท ยอดรับรู้รายได้ 10,000 ล้านบาท
ปัจจุบันบริษัทมีสต๊อกในมือประมาณ 17,000 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นสต๊อกสร้างเสร็จพร้อมโอน 6,000 ล้านบาท ขณะที่มียอดขายรอโอนหรือ Backlog จำนวน 17,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้ในปีนี้ประมาณ 3,000 ล้านบาท นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนที่จะนำพื้นที่ค้าปลีกที่บริษัทปล่อยเช่าในปัจจุบันจำนวน 4 แห่ง มูลค่าประมาณ 3,000 ล้านบาท ออกขายเพื่อสร้างรายได้ ซึ่งสินทรัพย์ดังกล่าวมีเป็นสินทรัพย์ที่มีต้นทุนที่ต่ำกว่าราคาตลาดในปัจจุบัน และไม่มีหนี้สินผูกพันอยู่ การเร่งสร้างยอดรับรู้รายได้จากสินทรัพย์ที่บริษัทมีเหล่านี้จะช่วยเพิ่มกระแสเงินสดให้บริษัทได้ในทันที และสามารถสร้างอัตราผลกำไรสุทธิที่เป็นที่น่าพอใจให้กับบริษัท ปัจจุบันสามารถขายอาคารสำนักงานภายในโครงการโนเบิล เพลินจิตให้แก่กลุ่ม บีทีเอสไปแล้วในราคา 800 ล้านบาท
สำหรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นของบริษัทฯในปัจจุบัน มีการเปลี่ยนแปลง โดยมีผู้ถือหุ้นใหญ่ 3 รายได้แก่ นายธงชัย บุศราพันธ์ ซึ่งครอบครองหลักทรัพย์ร้อยละ 23.3 ,2 ฟัลครัม-โกลบอล แคปิตอล (Fulcrum Global Capital) ซึ่งนายแฟรงค์ เหลียง เป็นผู้ถือหุ้นทั้งหมด ได้เข้าถือหุ้นร้อยละ 24.9 ในโนเบิลผ่านการลงทุนภายใต้ชื่อบริษัท เอ็นคราวน์ จำกัด (nCrowne Pte. Ltd.) บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) (BTSG) ครอบครองหลักทรัพย์ ร้อยละ 9.9 ซึ่งเป็นการลงทุนเพื่อการบริหารเงินออม (Treasury Investment) ของทางกลุ่ม BTS ส่วนผู้ถือหุ้นที่เหลือจำนวนร้อยละ 41.9 เป็นของกลุ่มผู้ถือหุ้นอื่นๆ