xs
xsm
sm
md
lg

ทุนธนชาตจัดหนักปันผล 2.60บ./หุ้น กำไรโตต่อเนื่อง-มั่นใจอนาคตแกร่ง

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


บมจ.ทุนธนชาต (TCAP) โชว์ฟอร์มดีต่อเนื่อง เคาะจ่ายปันผลประจำงวดปี 61 หุ้นละ 2.60 บาท เพิ่มขึ้นจากปี 59 ที่หุ้นละ 2.00 บาท และ ปี 60 ที่หุ้นละ 2.20 บาท ล่าสุดประกาศผลการดำเนินงานไตรมาสแรกปี 2562 สดใส มีกำไรสุทธิจำนวน 4,061 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 148 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 3.78%

บริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TCAP ได้ประกาศจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานปี 2561 เป็นเงิน 2.60 บาทต่อหุ้น โดยแบ่งเป็นจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้วเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2561 ในอัตราหุ้นละ 1.00 บาท และเหลืออีก 1.60 บาท ซึ่งจะทำการขออนุมัติจ่ายเงินปันผลจากการประชุมผู้ถือหุ้นในวันที่ 24 เมษายน นี้ ทั้งนี้ การจ่ายเงินปันผลของ TCAP จ่ายเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง นับจากปี 2559 ที่จ่าย 2.00 บาทต่อหุ้น ปี 2560 จ่าย 2.20 บาทต่อหุ้น และล่าสุดปี 2561 จ่าย 2.60 บาทต่อหุ้น ถือเป็นบริษัทที่สามารถจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นได้อย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ เนื่องมาจากผลการดำเนินงานปี 2561 ของ TCAP ที่ออกมาดี โดยในปี 2561 TCAP และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิตามงบการเงินรวม จำนวน 15,806 ล้านบาทซึ่งเป็นการเติบโตต่อเนื่อง 4 ปีติดต่อกัน ขณะที่กำไรสุทธิส่วนที่เป็นของ TCAP มีจำนวน 7,839 ล้านบาท เติบโต 11.97% จากปีก่อน

ล่าสุดผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2562 ที่ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ยังเติบโตต่อเนื่อง โดย TCAP และบริษัทย่อย มีกำไรสุทธิตามงบการเงินรวมจำนวน 4,061 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 148 ล้านบาท หรือ 3.78% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากความสำเร็จในการดำเนินกลยุทธ์ของธนาคารธนชาต ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ TCAP ที่ได้ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer Centric) และมุ่งเน้นในการเป็นธนาคารหลัก (Main Bank) ที่ลูกค้าใช้บริการ เป็นผลให้ธนาคารธนชาต และบริษัทย่อย มีผลการดำเนินงานที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง

สำหรับฐานรายได้รวมของ TCAP และบริษัทย่อย อันได้แก่ รายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 6.25% จากปริมาณสินเชื่อและส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยลดลง 8.15% จากการลดลงของรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิและกำไรสุทธิจากเงินลงทุน ด้านค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานปรับลดลง 7.13% จากการบริหารค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้กำไรจากการดำเนินงานก่อนการตั้งสำรอง (PPOP) เพิ่มขึ้น 10.25% และค่าใช้จ่ายหนี้สูญ หนี้สงสัยจะสูญลดลง 30.75%

ส่วนสินทรัพย์รวมของกลุ่มธนชาตปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากสิ้นปีที่ผ่านมา โดยสินเชื่อขยายตัว 1.21% จากการเติบโตของสินเชื่อรายย่อยโดยเฉพาะอย่างยิ่งสินเชื่อเช่าซื้อที่เป็นสินเชื่อหลักของธนาคารยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่เงินรับฝากลดลง 1.11% แต่อย่างไรก็ตามเงินฝากออมทรัพย์และกระแสรายวัน (CASA) ซึ่งเป็นเงินฝากต้นทุนต่ำได้ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 49.29%

ด้านสินเชื่อด้อยคุณภาพของกลุ่มธนชาต ปรับตัวลดลง 2.88% จากสิ้นปี 2561 และมีอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL Ratio) อยู่ที่ 2.28% ขณะที่ อัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญทั้งหมดต่อเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage Ratio) อยู่ที่ 120.85% สำหรับอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงของธนาคารเท่ากับ 19.18%

อย่างไรก็ตาม กำไรสุทธิส่วนที่เป็นของ TCAP ในไตรมาส 1 มีจำนวน 2,016 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 117 ล้านบาท หรือ 6.16% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนคิดเป็นกำไรต่อหุ้น (EPS) เท่ากับ 1.76 บาท เพิ่มขึ้นจาก 1.63 บาท โดยมีอัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมเฉลี่ย (ROAA) และอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทเฉลี่ยอยู่ที่ 1.53% และ 12.08% ตามลำดับ

เมื่อดูถึงศักยภาพโดยรวมของ TCAP ทั้งหมด TCAP ไม่เพียงแต่ได้ประโยชน์จากการลงทุนในธนาคารธนชาตและบริษัทย่อย ยังมีธุรกิจบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ ซึ่ง Active เพิ่มขึ้น รวมถึงธุรกิจอื่นๆ ที่ยังช่วยหนุนกำไรให้สูงขึ้นอีก

ขณะที่การรวมธนาคารธนชาตกับธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) (ทีเอ็มบี) นั้น หากเสร็จสิ้นกระบวนการแล้วก็จะเป็นธนาคารแห่งใหม่ที่มีศักยภาพในการดำเนินธุรกิจที่สูงขึ้น จากการนำเอาจุดแข็งของแต่ละแห่งมาผสานกัน ทั้งด้านความเป็นหนึ่งในสินเชื่อเช่าซื้อของธนาคารธนชาต กับความหลากหลายในด้านผลิตภัณฑ์ของทีเอ็มบี ซึ่งจะทำให้เป็นธนาคารแห่งใหม่ที่มีความสามารถในการเติบโตทางธุรกิจและสร้างผลกำไรที่ดีขึ้น และผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นนี้จะสะท้อนกลับมาสู่ TCAP (1 ในผู้ถือหุ้นใหญ่ในสัดส่วนไม่น้อยกว่า 20%) อย่างมีนัยสำคัญ

ดังนั้น หากมองถึงแนวโน้ม TCAP ภายหลังจากการรวมธนาคารธนชาตกับทีเอ็มบีเสร็จสิ้น และผนวกกับผลการดำเนินงานที่ดีของบริษัทลูกอื่น ๆ แล้ว จะทำให้ผลการดำเนินงานของ TCAP ยังคงมีทิศทางที่จะเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนต่อไป


กำลังโหลดความคิดเห็น