กลุ่มบางกอกกล๊าส หนึ่งในธุรกิจของตระกูล "ภิรมย์ภักดี" เดินหน้ารุกธุรกิจวัสดุก่อสร้าง ภายใต้เรือธง บีจีเอฟ หวังเติบโตก้าวกระโดด หลังทุ่มเงิน 1,000 ล้านบาท ซื้อกิจการบริษัทผู้ผลิตอลูมิเนียมอันดับต้นๆในประเทศไทย เพื่อขับเคลื่อนและต่อยอดการขยายธุรกิจสู่ตลาดที่มีศักยภาพ ทั้ง ชิ้นส่วนยานยนต์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ วางเป้ารายได้รวมปีนี้ สูงถึง 4,000 ล้านบาท เติบโต 60% แย้มแผน 5 ปี ปั๊มรายได้สู่ระดับ 6,000-7,000 ล้านบาท รับแผนเข้าตลาดหุ้น
นายศุภสิน ลีลาฤทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บีจี โฟลต กล๊าส จำกัด (หรือ บีจีเอฟ ) ทำธุรกิจเกี่ยวกับวัสดุก่อสร้าง และเป็นหนึ่งในกลุ่มธุรกิจของบริษัท บางกอกกล๊าส จำกัด (มหาชน) (หรือ BG) เปิดเผยถึงภาพรวมอุตสาหกรรมกระจกในประเทศไทยว่า ในปี 2562 คาดว่าจะเติบโตรวม 5-6% จากมูลค่าตลาดรวม 12,000 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา ซึ่งจะเติบโตตามความต้องการของตลาดวัสดุก่อสร้าง ซึ่งเป็นตัวเลขที่อ้างอิงตามที่ประเมินไว้ตั้งแต่ปี 2561 แต่ก็มีหลายปัจจัยที่มาส่งผลกระทบต่อตลาดวัสดุก่อสร้าง เช่น สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน (เทรดวอร์) เรื่องมาตรการควบคุมการนำเงินออกนอกประเทศของรัฐบาลจีน ซึ่งจะมีผลต่อภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมในไทย เนื่องจากมีกลุ่มลูกค้าชาวจีนที่มาลงทุนซื้อคอนโดมิเนียม และอาจไม่ได้โอน ซึ่งจะมีปัญหาเรื่องการโอนพอสมควร และอาจจะเป็นปัจจัยชะลอต่อภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์
สำหรับแผนธุรกิจของบริษัทในปี 2562 นั้น จะขยายตลาดอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากธุรกิจหลักในธุรกิจกระจก พร้อมกับธุรกิจอลูมิเนียม ที่ บีจีเอฟ ได้เข้าไปซื้อกิจการมาเมื่อต้นปี 2562 ในวงเงินลงทุน 1,000 ล้านบาท ซึ่งจะเกื้อหนุนในการขยายตลาดและทำให้มีจุดแข็งในการทำธุรกิจ โดยภายใน 1-2 เดือนข้างหน้า จะเริ่มออกผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ บีจีเอฟ ซึ่งจะทำตลาดผ่านเครือข่ายจากฐานลูกค้าในธุรกิจกระจกของบริษัทฯ ทั้งนี้ ในการประเมินรายได้รวมปีนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ 4,000 ล้านบาท แยกเป็นจากธุรกิจกระจกที่คาดว่าจะเติบโต 60% หรือมีรายได้ประมาณ 2,500 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2561 ที่มีรายได้อยู่ที่ 1,500 ล้านบาท และรายได้จากธุรกิจอลูมิเนียมประมาณ 1,500 ล้านบาท
ในปี 2561 บีจีเอฟ มีการเติบโตในกลุ่มธุรกิจกระจกอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทฯได้ดำเนินการผลิตและจัดจำหน่ายกระจกแผ่นจากโรงงาน กบินทร์บุรีกล๊าส อินดัสทรี อำเภอศรีมหาโพธิ จังหวัดปราจีนบุรี ด้วยกำลังการผลิต 219,000 ตันต่อปี ทั้งยังเป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวกับอุตสาหกรรมกระจก อาทิ อุปกรณ์งานกระจก (BGF FITPLUS+) และหน้าต่างสำเร็จรูป (BGF WINcool)
" ปีที่ผ่านมา เป็นปีแรกที่เราเข้าสู่ธุรกิจกระจก ผลการดำเนินงานเป็นไปตามเป้าที่วางไว้ แม้ว่าเราจะเป็นผู้เล่นรายใหม่ในตลาด แต่ผลงานก็ออกมาดี เพียงแค่ระยะเวลาปีกว่า บีจีเอฟ สามารถมีส่วนแบ่งในตลาดรวมถึง 19% ซึ่งบริษัทมีเตาหลอมเพียงเตาเดียว ซึ่งในอนาคต หากธุรกิจมีการเติบโต ก็อาจจะขยายลงทุนเตาหลอมเพิ่มขึ้น "
นายศุภสิน กล่าวถึงกลยุทธ์ในการทำตลาดว่า จะมีทั้งในประเทศและส่งออก โดยจะมีสัดส่วน 60% และ 40% ของยอดขายตามลำดับ ซึ่งตลาดในประเทศจะพยายามเข้าถึงลูกค้าโครงการ โดยจะหาพันธมิตรที่เป็นส่วนของผู้รับเหมาในการเข้าไปเสนองาน เพื่อเราจะเข้าไปวางสเป็กกับทางโครงการ ในส่วนของตลาดต่างประเทศ จะรองรับกับปริมาณกำลังการผลิตในประเทศที่เกินความต้องการ ซึ่งจะพบว่า กำลังรวมของผู้ผลิตทั้ง 3 ราย จะมีประมาณ 7 แสนถึง 1 ล้านตันต่อปี
" ประเทศไทยตั้งอยู่ในทำเลที่มีศักยภาพในการเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน และมีความคล่องตัวในการขนส่งสินค้า ซึ่งตัวสินค้ากระจก เรามีการส่งออกไปยังประเทศที่อยู่ใน CLMV และประเทศเหล่านี้ มีการเติบโตทางเศรษฐกิจเกิน 2 หลักมาตลอด อัตราสูงกว่าประเทศไทย นอกจากนี้ กำลังศึกษาจะเข้าไปจำหน่ายสินค้ายังประเทศพม่าผ่านอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ส่วนแนวทางอนาคตจะไปตั้งโรงงานหรือไม่ ต้องศึกษาอย่างละเอียด เนื่องจากต้องพิจารณาทั้งในเรื่องของการคมนาคม ความต้องการแต่ละประเทศ และเรื่องพลังงานไฟฟ้า แต่สำหรับธุรกิจอลูมิเนียม จะมีความคล่องตัว และอาจคิดไปตั้งฐานผลิตประเทศในกลุ่ม CLMV "
อย่างไรก็ตาม บีจีเอฟ ยังคงมุ่งมั่นในการขยายธุรกิจเพื่อให้มีสินค้าที่ครบวงจรมากที่สุด โดยจะต่อยอดไปยังธุรกิจวัสดุก่อสร้าง ในผลิตภัณฑ์ประเภท พื้น กำแพง ฝ้า เพดาน และยิปซั่มบอร์ด นอกจากนี้ ตามแผน 5 ปี ภายในปี 2566 คาดว่ารายได้รวมของบริษัทฯจะไปสู่เป้าหมายที่ 6,000-7,000 ล้านบาท เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายในการเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย.