นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ขวัญใจคนรุ่นใหม่ในการเลือกตั้งครั้งนี้ สร้างความฮือฮาอีกครั้ง โดยเปิดแถลงข่าวการเซ็นบันทึกความเข้าใจร่วมกัน (MOU) มอบให้บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ภัทร จำกัด บริหารจัดการทรัพย์สินทั้งหมดมูลค่าประมาณ 5 พันล้านบาท
การมอบให้บริษัทเอกชนบริหารจัดการทรัพย์สิน เป็นการเตรียมตัวก่อนเข้าสู่ตำแหน่งทางการเมือง โดยนายธนาธร ระบุว่า จะทำให้ปฏิบัติหน้าที่เป็นไปด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อน และสร้างมาตรฐานจริยธรรมทางการเมืองใหม่ แก้ข้อสงสัยและลบข้อครหา เข้ามาทำงานการเมืองเพื่อธุรกิจครอบครัวกลุ่มไทยซัมมิท
การบริหารทรัพย์สินมูลค่าประมาณ 5,000 ล้านบาทนั้น เป็นไปในรูปแบบกองทุนส่วนบุคคลประเภท BLIND TRUST หรือกองทุนส่วนบุคคลที่เจ้าของเงินไม่เห็นทรัพย์สินที่บริษัทจัดการกองทุนเข้าไปลงทุน
จะซื้อหุ้นบริษัทใด ลงทุนในทรัพย์สินประเภทไหน ซื้อตราสารหนี้อะไร นายธนาธรไม่มีโอกาสรับรู้
นายธนาธร ประกาศว่า ทรัพย์สินที่โอนเข้าไปในกองทุน BLIND TRUSTนั้น จะไม่ลงทุนหุ้นในประเทศไทย และทรัพย์สินจะถูกส่งคืนหลังจากพ้นตำแหน่งทางการเมือง 3 ปี
การประกาศโอนทรัพย์สินให้บริษัทจัดการกองทุนส่วนบุคคลบริษัท ในรูป BLIND TRUST มีความพยายามขยายผลจากผู้ที่ไม่รู้จริงหรือแกล้งไม่รู้ โดยอ้างว่า นายธนาธร เป็นนักการเมืองคนแรกที่โอนทรัพย์สินเข้ากองทุน BLIND TRUST
บางคนสรรเสริญยกย่องนายธนาธร ดุจดั่งเทพเจ้า เป็นแบบอย่างของนักการเมืองรุ่นใหม่ที่สร้างบรรทัดฐานและจริยธรรมทางการเมือง
ทั้งๆ ที่มีนักการเมืองประมาณ 15 คนแล้ว เคยมอบหมายให้บริษัทจัดการกองทุน นำทรัพย์สินไปบริหาร ระหว่างดำรงตำแหน่งทางการเมือง
และกองทุนส่วนบุคคลในลักษณะ BLIND TRUST นั้น ยังไม่มีกฎหมายรองรับในการจัดตั้ง มีแต่กองทุนส่วนบุคคลหรือ PRIVATE FUND และกองทุนที่นายธนาธร มอบให้ภัทรฯ บริหาร ก็มีฐานะเป็นเพียง PRIVATE FUNDT ธรรมดากองหนึ่ง
เพียงแต่เงื่อนไขในการบริหาร นายธนาธรอาจนำหลักการของ BLIND TRUST มาเป็นข้อกำหนดในการบริหารจัดการ PRIVATE FUND เท่านั้น
และการประกาศว่า จะไม่ลงทุนหุ้นในประเทศไทยนั้น ในบันทึกความเข้าใจกับภัทรฯ ไม่ได้ระบุเงื่อนไขไว้ในสัญญาการบริหารจัดการทรัพย์สิน ระบุเพียงห้ามถือหุ้นในกิจการที่ได้รับสัมปทานของรัฐ เป็นคู่สัญญากับรัฐ หรือเป็นกิจการต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ
คำประกาศ PRIVATE FUND ของนายธนาธร จะไม่ลงทุนหุ้นในประเทศไทย จึงไม่ตรงกับเงื่อนไขใน MOU
ทรัพย์สินที่มอบให้บริษัท ภัทรฯ บริหารจัดการในรูปกองทุนส่วนบุคคลนั้น เมื่อรับตำแหน่งทางการเมือง นายธนาธรมีหน้าที่ต้องรายงานให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
ขณะที่รายละเอียดทรัพย์แต่ละรายการในกองทุนส่วนบุคคลของนายธนาธร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ภัทรฯ จะเป็นผู้รายงานรายให้ ป.ป.ช. เมื่อถูกร้องขอ ซึ่งเป็นหลักปฏิบัติโดยทั่วไป
อย่างไรก็ตาม ภัทรฯ มีหน้ารายงานทรัพย์สินโดยรวมให้นายธนาธร รับรู้ ทรัพย์สินล่าสุดมีจำนวนเท่าไหร่ แต่ละปีผลตอบแทนงอกเงยหรือขาดทุนเพียงใด ต้องรายงาน จะรายงานถี่เป็นรายเดือน รายไตรมาส หรือรายปี ขึ้นอยู่กับข้อตกลง
ค่าธรรมเนียมการบริหารจัดการกองทุนส่วนบุคคลนั้น ไม่มีอัตราตายตัว แต่จะเจรจาตกลงกันระหว่างเจ้าของเงินกับบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ซึ่งโดยทั่วไปอัตราค่าธรรมเนียมต่อปีประมาณ 0.25% ของมูลค่าทรัพย์สินที่บริหาร
และถ้าค่าธรรมเนียมการบริหารกองทุนส่วนบุคคลของนายธนาธร คิดอัตรา 0.25% ภัทรฯ จะมีรายได้จากการบริหารทรัพย์สินของนายธนาธร ปีละประมาณ 12.5 ล้านบาท
นายธนาธร อาจเป็นนักการเมืองหน้าใหม่ และประสบความสำเร็จในการทำให้คนรุ่นหนุ่มสาวเคลิบเคลิ้ม หลงใหล พร้อมเทคะแนนเสียงให้ ผู้ใหญ่เตือนก็ไม่ฟัง
แต่การนำทรัพย์สินเข้ากองทุนส่วนบุคคล มอบให้บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนบริหารจัดการนั้นไม่ใช่ปรากฏการณ์ใหม่ เพราะเป็นสิ่งที่นักการเมืองนับสิบคนปฏิบัติมาแล้วนับสิบปี
ส่วนการยกกองทุน BLIND TRUST ขึ้นมานั้น เป็นเพียงการ "ตีกิน" เพราะประเทศไทยยังไม่มีกองทุนประเภทนี้
BLIND TRUST อาจทำให้ภาพของนายธนาธร ดูดียิ่งขึ้น สำหรับคนรุ่นหนุ่มสาว แต่คนที่รู้จริง รู้ดี มีประสบการณ์ และรู้ทันการสร้างจุดขายของนายธรนาธร จะถูกตอกย้ำว่า
นักการเมืองหนุ่มหน้าใหม่ ทายาทตระกูลมหากลุ่มธุรกิจไทยซัมมิทคนนี้ ไม่ธรรมดาจริงๆ