ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจฯ ตั้งเป้าในปี 62 จะปล่อยสินเชื่อรวม 5.72 หมื่นล้านบาท โดยปล่อยผ่านสาขา 3.5 หมื่นล้านบาท ส่วนอีก 2.22 หมื่นล้าบาทจะปล่อยผ่านโครงการรถม้าเติมทุน ตั้งเป้าลดหนี้เสียลงเหลือไม่เกิน 10% เตรียมขายหนี้เสีย 3 พันล้านบาทในไตรมาสแรก ก่อนจากจะขายหนี้จากกรมบังคับคดีเพิ่มอีก 5 พันล้านบาท หวังลดสัดส่วนหนี้เสียลงเหลือ 10% เพื่อทำให้สถานะธนาคารฯ กลับมาแข็งแรงเป็นปกติ
นายมงคล ลีลาธรรม กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) กล่าวในงาน “เรื่องเล่าจากใจ ก้าวต่อไปของ SME D Bank” หลังเข้ารับตำแหน่งและจะอำลา"กรรมการผู้จัดการ" 8 มี.ค. นี้ ว่า สถานการณ์ ก่อนที่ตนจะเข้ารับตำแหน่ง ธนาคารฯ มีหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ 3.7 หมื่นล้านบาท หรือประมาณ 40% โดยในช่วงกลางปี 57 ธพว. ได้เข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ ซึ่งจากการร่วมแรงร่วมใจของผู้บริหาร พนักงาน และผู้ที่เกี่ยวข้อง ที่ช่วยปรับปรุงระบบการทำงานต่างๆ เพื่อแก้ปัญหาในอดีต และสร้างความยั่งยืนในอนาคต เช่น จัดทำระบบถ่วงดุลอำนาจของกระบวนการอำนวยสินเชื่อ ระบบบริหารความเสี่ยง ปรับลดวงเงินสินเชื่อใหม่ไม่เกิน 15 ล้านบาทต่อรายนั้น ทำให้ผลการดำเนินงานดีขึ้นตามลำดับ จนเมื่อถีงวันที่ 19 ม.ค. 61 คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) มีมติให้ ธพว. เป็นหน่วยงานแรกที่ประสบความสำเร็จในการออกจากแผนฟื้นฟูกิจการ
ทั้งนี้ จากจากการปรับปรุงการทำงานดังกล่าวส่งผลให้ตั้งแต่ต้นปี 58 ถึง ม.ค.62 ธพว. สามารถอำนวยสินเชื่อเบิกจ่ายให้ผู้ประกอบการได้กว่า 5.2 หมื่นราย โดยคิดเป็นวงเงินกว่า 1.44 แสนล้านบาท ขณะเดียวกันยังรักษาการจ้างงานได้กว่า 5.2 แสนคน และสร้างผู้ประกอบการใหม่มากกว่า 1 พันราย จนก่อให้เกิดเงินทุนหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจกว่า 7.2 แสนล้านบาท ซึ่งได้สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ 2.5 แสนล้านบาท ส่วนหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้จากสินเชื่อใหม่นับถึงสิ้นเดือน ธ.ค. 61 จะมีอยู่เพียง 3.6% ยอดปล่อยสินเชื่อใหม่เฉพาะปี 2561
จะมีทั้งสิ้น17,666 ราย คิดเป็นวงเงิน 36,714 ล้านบาท นอกจากนั้น จัดกิจกรรมเพิ่มความรู้และเสริมการตลาดให้ลูกค้าต่อเนื่อง เช่น สัมมนาความรู้กว่า 540 ครั้ง มีผู้เข้าร่วมกว่า 2.4 หมื่นราย พาผู้ประกอบการกว่า 1,500 รายออกบูธขายสินค้ามากกว่า 100 ครั้ง สร้างรายได้กว่า 225 ล้านบาท ช่วยส่งเสริมการตลาดผ่านสื่อมวลชนกว่า 290 ราย คิดเป็นมูลค่ากว่า 18.5 ล้านบาท และแนะนำผู้ประกอบการขยายตลาดออนไลน์ ซึ่งมียอดผู้มองเห็นมากกว่า 1.2 ล้าน Reach ต่อเดือน
ส่วนเป้าหมายการทำธุรกิจในปี 62 ธพว. ได้ปรับแผนการปล่อยสินเชื่อรวม 57,200 ล้านบาท แบ่งเป็นการปล่อยสินเชื่อผ่านสาขา 35,000 ล้านบาท และผ่านโครงการรถม้าเติมทุนอีก 22,200 ล้านบาท ซึ่งเมื่อนับจากปี 58 ทำให้ยอดรวมการปล่อยสินเชื่อมีเพิ่มขึ้นถึง 30,000 ล้านบาทต่อปี ขณะที่ยอดสินเชื่อคงค้างถึงปี 62 จะมีวงเงินรวมทั้งสิ้น 100,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ธพว. ยังเตรียมขายหนี้เสียไตรมาสแรกนี้อีก 3,000 ล้านบาท และต่อไปยังจะมีการขายหนี้จากกรมบังคับคดีเพิ่มอีก 5,000 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้สัดส่วนหนี้เสียโดยรวมของ ธพว. ลดลงเหลือไม่เกิน 10% และภายในปี 62 สถานะของธนาคารฯ จะกลับแข็งแรงเป็นปกติ
นอกจากนี้ กรรมการผู้จัดการ ธพว. ยังกล่าวเพิ่มเติมถึงสิ่งที่ได้วางแผนและเตรียมส่งมอบภารกิจให้แก่ผู้บริหาร ตลอดจนพนักงาน ได้ยึดถือปฏิบัติต่อไปคือมุ่งมั่นยึดบทบาทสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อย “จุลเอสเอ็มอี” หรือที่เรียกว่า “คนตัวเล็ก” ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มผู้ค้า-แผงค้าในตลาด กลุ่มรถจำหน่ายอาหารเคลื่อนที่ FoodTruck + รถพุ่มพวง โชวห่วย และผู้ประกอบอาชีพอิสระ เป็นต้น ซึ่งมีจำนวนกว่า 3 ล้านรายทั่วประเทศ ทั้งนี้ เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีความสามารถทางธุรกิจที่ต่ำมากจากการที่เข้าไม่ถึงความช่วยเหลือจากภาครัฐ ยิ่งเมื่อต้องการเงินทุนในระบบสถาบันการเงิน แทบเป็นไปไม่ได้เลย เนื่องจากไม่เคยมีประวัติการเงินใดๆ มาก่อน และต้องหันไปพึ่งเงินกู้นอกระบบแทนจนกลายเป็นคนตัวเล็กอ่อนแอที่สุด
ขณะที่โครงสร้างเศรษฐกิจปัจจุบันเข้าสู่ยุคดิจิทัล หลายธุรกิจถูกเทคโนโลยีบีบให้เปลี่ยนแปลง จำเป็นต้องลดคนงาน มีคนล้มกำลังมองหาอาชีพใหม่ เช่น ธุรกิจสื่อ สถาบันการเงิน เป็นต้น อีกทั้ง ผู้เกษียณอายุเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้ง หนุ่มสาวที่ไม่ได้เรียนจบในสาขาที่ตลาดต้องการ จะหางานประจำยากขึ้น ผลักให้ต้องก้าวมาเป็นผู้ประกอบการหน้าใหม่กระจายอยู่มากมายทั่วประเทศ รวมถึง ต้องสร้างโอกาสให้แก่สตาร์ทอัพ ดังนั้น ธนาคารจึงกำหนดบทบาทที่จะดูแลสนับสนุนและเพิ่มความแข็งแกร่งให้รายย่อยอย่างใกล้ชิดและทั่วถึง เพื่อให้ผู้ประกอบการอยู่รอด ขยายตลาด และประสบความสำเร็จ เพราะความสำเร็จของผู้ประกอบการ คือ ความสำเร็จของ SME D Bank
ทั้งนี้ แนวทางการสนับสนุนให้เกิดผลสำเร็จอย่างยั่งยืนนั้น ต้องครบทั้งความรู้ การเงิน และคุณภาพชีวิต มาพร้อมยกระดับการทำงานสู่ดิจิทัลแบงก์กิ้งสมบูรณ์แบบ นำเทคโนโลยีทันสมัยสนับสนุนให้ผู้ประกอบการเข้าถึงบริการของธนาคารได้ง่าย สะดวก และรวดเร็ว ขอแค่มีสมองกับสองมือ สามารถดำเนินธุรกิจได้ ธนาคารจึงกำหนดยุทธศาสตร์การทำงานด้วยการมอบ “3เติม”ผ่านกระบวนการ “3D” กล่าวคือ 3 เติม ได้แก่ 1.เติมทักษะให้ความรู้เพิ่มขีดความสามารถธุรกิจ 2.เติมทุนด้วยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ซึ่งธนาคารได้รับมอบหมายจากรัฐบาล เช่น สินเชื่อเพื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชน บุคคลธรรมดาปีที่ 1-3 เพียง 0.42% ต่อเดือน และนิติบุคคล อัตราดอกเบี้ย ปีที่ 1-3 เพียง 0.25% ต่อเดือน และสินเชื่อเถ้าแก่ 4.0 จากกระทรวงอุตสาหกรรม สำหรับนิติบุคคล อัตราดอกเบี้ยคงที่ 1% ต่อปี เป็นต้น และ 3.เติมคุณภาพชีวิต พาเข้าถึงสิทธิ์ประโยชน์และสวัสดิการภาครัฐ สร้างความมั่นคงในอาชีพ ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น
นายมงคล กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการสำรวจดัชนีสถานการณ์ธุรกิจ SMEs และดัชนีความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจ SMEs ตลอดไตรมาสที่ 1, 2 , 3 และ 4 ประจำปี 2561 ที่ผ่านมา โดยศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย พบว่า ลูกค้า ธพว. ที่ได้รับ 3 เติม และ 3D จะมีดัชนีความสามารถธุรกิจ สูงกว่าค่าเฉลี่ยของเอสเอ็มอีทั่วไป ดังนั้น ธพว. จะเดินหน้าแนวทางดังกล่าวขยายไปสู่เอสเอ็มอีไทยอย่างกว้างขวาง โดยตั้งเป้าปี 62 จะสนับสนุนเข้าถึงบริการสินเชื่อมูลค่า 5.7 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นสำหรับเอสเอ็มอี
ทั่วไปวงเงินเกิน 1 ล้านบาทต่อราย ประมาณ 3.5 หมื่นล้านบาท และสำหรับรายย่อยวงเงินกู้ไม่เกิน 1 ล้านบาทต่อราย ประมาณ 2.2 หมื่นล้านบาท ก่อให้เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้ เงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจกว่า 2.86 แสนล้านบาท