xs
xsm
sm
md
lg

บล.เออีซี แนะจับตาผลการเจรจาสงครามการค้า ตัวแปรชี้ดัชนีหุ้นแกว่งบวก-ลบ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


บล.เออีซี คาดตลาดหุ้นไทยต้องเฝ้าระวัง Consensus ที่ปรับประมาณการ EPS ปีนี้ของดัชนี SET ลงต่อเนื่องจากช่วงต้นปี บวกกับนักลงทุนต่างชาติพลิกกลับขายสุทธิเป็นเวลา 6 วันติดต่อกัน โดยต่างประเทศมีความกังวลประเด็นทางการเมือง หลัง “โดนัลด์ ทรัมป์” ประกาศภาวะฉุกเฉิน ประกอบกับผลการเจรจาสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน ที่ยังไม่ได้ข้อยุติ และยืดเยื้อต่อ โดยฝ่ายวิจัยประเมินกรอบดัชนีสัปดาห์นี้ที่ 1,630-1,665 จุด

บริษัทหลักทรัพย์ เออีซี จำกัด (มหาชน) หรือ AECS ระบุว่า ดัชนี SET มีโอกาสแกว่งผันผวนในกรอบ โดยต่างประเทศมีความกังวลประเด็นทางการเมืองหลังประธานาธิบดีแห่งสหรัฐฯ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศภาวะฉุกเฉิน ประกอบกับผลการเจรจาสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน ที่ยังไม่ได้ ข้อยุติ และยืดเยื้อต่อ ขณะฝั่งตลาดหุ้นไทยต้องเฝ้าระวัง Consensus ที่ปรับคาดการ EPS ปีนี้ของดัชนี SET ลงต่อเนื่องจากช่วงต้นปี บวกกับนักลงทุนต่างชาติพลิกกลับขายสุทธิเป็นระยะเวลา 6 วันติดต่อกัน ส่งผลให้มีการประเมินกรอบแนวรับรายวันที่ 1,620 จุด และแนวต้านที่ 1,640 จุด

นอกจากนี้ ยังได้ประเมิน SET Index ในช่วงสัปดาห์นี้ว่า ดัชนีมีการพักฐาน หลัง Consensus ปรับลดประมาณการ EPS โดยข้อมูลจาก Bloomberg Consensus พบว่า เมื่อต้นปี EPS ปี 62 ที่ 115.16 บาท ขณะที่ปัจจุบัน เหลือเพียง 111.26 บาท หรือลดลง 3.39% YTD บวกกับนักทุนต่างชาติที่ขายหุ้นติดต่อกันเป็นระยะเวลา 6 วันทำการติดต่อกัน มูลค่ารวมเท่ากับ 9,854.8 ล้านบาท ทำให้เรามองว่า SET Index มีโอกาสหลุดแนวรับ 1,630 จุด และมีโอกาสปรับตัวไปอยู่ในแนวรับถัดไปที่บริเวณ 1,600 จุด ดังนั้น แนะนำให้ลดพอร์ตเพื่อถือเงินสดบางส่วน และทยอยซื้อกลับใน 3 กลุ่มหุ้นเด่น เมื่อดัชนีปรับตัวลงมาในกรอบแนวรับดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม ทางฝ่ายวิจัยมองว่า แม้ว่าในสัปดาห์นี้เราลดมุมมองเชิงลบลงจากปัจจัยที่สำคัญ จากการเจรจาการค้าระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน มีความคืบหน้ามากขึ้น แต่ยังไม่ได้ข้อยุติ และจะมีการเจรจากันอีกครั้งในสัปดาห์นี้ที่กรุงวอชิงตัน สหรัฐฯ โดยทางประธานาธิบดีสหรัฐฯ กำลังพิจารณา เลื่อนกำหนดการขึ้นภาษีสินค้าอีกไปอีก 60 วัน เพื่อให้มีเวลาในการเจรจาการค้ามากขึ้น

ทั้งนี้ สหรัฐฯ สามารถหลีกเลี่ยงภาวะปิดหน่วยงานรัฐบาล (Government shutdown) รอบที่ 2 ได้เป็นผลสำเร็จ ซึ่งจะทำให้สหรัฐฯ มีงบประมาณไปจนถึงเดือน ก.ย. แต่ยังมีความเสี่ยงจากประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้เซ็นลงนามประกาศใช้ภาวะฉุกเฉิน เพื่อให้มีงบประมาณในการสร้างกำแพงกั้นชายแดนเม็กซิโก ซึ่งไม่ได้ผ่านการอนุมัติจากสภาคองเกรส ทำให้สหรัฐฯ ยังมีความเสี่ยงจากปัจจัยทางด้านการเมือง อีกทั้ง ในเรื่องของราคาน้ำมันดิบที่ปรับเพิ่มสูงขึ้น โดยได้รับแรงหนุนจากกลุ่ม OPEC ปรับลดกำลังการผลิตลง 0.797 ล้านบาร์เรลต่อวัน เหลือ 30.806 ล้านบาร์เรลต่อวัน บวกกับสหรัฐฯ มีการแทรกแซงประเทศเวเนซุเอลา และอิหร่าน ทำให้กำลังการผลิตน้ำมันดิบทั่วโลกตึงตัว ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบปรับเพิ่มสูงขึ้น

อย่างไรก็ตาม ทางฝ่ายวิจัยแนะนำลงทุนหุ้นกลุ่มโรงพยาบาล เนื่องจากเป็นหุ้นกลุ่ม Defensive ที่น่าสนใจในช่วงที่ตลาดผันผวน จากกระแสเงินสดแข็งแกร่ง และไม่ผันผวนตามสภาวะเศรษฐกิจ และธุรกิจยังสามารถขยายตัวได้ต่อเนื่อง โดยเราอิงกับหุ้นที่มี Earning Growth ปี 62 โต และยังมี Upside กลุ่มโรงพยาบาล แนะนำ EKH, LPH, RJH และ BCH ส่วนกลุ่มจำนำทะเบียนรถ อาทิ SAWAD MTC และ AMANAH เนื่องจากรับผลบวกจากกฎระเบียบมีความชัดเจนโดยที่มีระบุว่า ผู้ประกอบการต้องมีทุนจดทะเบียนไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท 2) ไม่กำหนดวงเงินสินเชื่อขึ้นอยู่กับความสามารถในการชำระหนี้ และ 3) อัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 28% ซึ่งเรามองว่าไม่ได้ต่างไปจากที่ตลาดคาดก่อนหน้า และหุ้นกลุ่มสุดท้ายที่แนะนำ คือ หุ้นที่มีความโดดเด่นจากการคาดการงบปี 61โดยเฉพาะกำไรที่เติบโต YoY และ Consensus ยังคาดโตต่อในปี 62 แนะนำ JMT PLANB และ COM7


กำลังโหลดความคิดเห็น