บล. โกลเบล็ก จับตาเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัว หลังเฟดส่งสัญญาณชะลอขึ้นดอกเบี้ย เหตุตัวเลขคาดการณ์ GDP ไตรมาส 1/62 ลดลงเหลือ 2.17% และการครบกำหนดชัตดาวน์ในวันที่ 15 ก.พ.นี้ แม้เศรษฐกิจในประเทศได้แรงกระตุ้นจากการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ ให้วางกรอบดัชนี 1,630-1,670 จุด แนะกลยุทธ์ลงทุนหุ้นได้อานิสงส์เลือกตั้ง-คืน VAT 5% จากชอปช่วงตรุษจีน-ขยายเวลาฟรีค่าธรรมเนียมนักท่องเที่ยว ส่วนราคาทองคำแกว่งตัวในกรอบ 1,300-1,330 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ เนื่องจากเงินบาทส่งสัญญาณอ่อนค่า
น.ส.วิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS กล่าวว่า ภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้ ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากต่างประเทศ โดยเฟด ไม่เร่งการขึ้นอัตราดอกเบี้ย ตามภาวะศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มชะลอตัว โดยเฟด สาขานิวยอร์ก คาดการณ์ตัวเลข GDP ของสหรัฐฯ ในไตรมาส 4/2561 ที่ระดับ 2.41% ต่ำกว่าคาดการณ์ครั้งก่อนที่ 2.61% ขณะที่คาดการณ์ตัวเลข GDP ในไตรมาส 1/2562 ไว้ที่ระดับ 2.17% ซึ่งชะลอตัวจากไตรมาส 4/2561
รวมทั้งปัจจัยในประเทศ ซึ่งนายกรัฐมนตรีเผยตัวเลข GDP ไทยปี 2561 ที่ระดับ 4.2% ขยายตัวต่อเนื่อง และสูงกว่าอัตราเฉลี่ยของเศรษฐกิจโลกที่ขยายตัว 3.7% และในปี 2562 มีโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของกระทรวงคมนาคมที่ทยอยเปิดประมูล อาทิ โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 โครงการท่าเรือมาบตาพุดระยะ 3 โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา และเมืองการบินภาคตะวันออก โครงการลงทุนในพื้นที่เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EECi) โครงการรถไฟทางคู่ 4 เส้นทางมูลค่ารวม 2.17 แสนล้านบาท ฯลฯ ทั้งนี้ กระทรวงคมนาคมมีโครงการเร่งด่วนเบื้องต้นรวม 21 โครงการ
ส่วนปัจจัยด้านลบที่กดดันการลงทุนในระยะนี้มาจากใกล้ถึงวันกำหนดเส้นตายภาวะชัตดาวน์สหรัฐฯ อีกครั้งในวันที่ 15 ก.พ.นี้ หากไม่มีการบรรจุงบประมาณสร้างกำแพงในร่างกฎหมายงบประมาณสหรัฐฯ และปัจจัยการเมืองในประเทศมีความผันผวนมากขึ้นก่อนถึงกำหนดการเลือกตั้งในวันที่ 24 มีนาคม 2562
สำหรับปัจจัยที่น่าจับตาตลอดทั้งสัปดาห์ อาทิ วันที่ 12 ก.พ. สหรัฐฯ เปิดเผยความเชื่อมั่นของธุรกิจขนาดย่อมเดือน ม.ค. ตัวเลขการเปิดรับสมัครงาน และอัตราการหมุนเวียนของแรงงานเดือน ธ.ค. วันที่ 13 ก.พ. อียู เปิดเผยการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือน ม.ค. รวมทั้งสหรัฐฯ เปิดเผยสต๊อกน้ำมันรายสัปดาห์, วันที่ 14-15 ก.พ. สหรัฐฯ และจีน เจรจาการค้าที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน, 15 ก.พ. กกต. ประกาศผลตัดสินคุณสมบัติผู้สมัคร ส.ส. แบ่งเขต-ปาร์ตีลิสต์-แคนดิเดตนายกฯ อย่างเป็นทางการ และจะนำรูปแคนดิเดทนายกฯ ขึ้นป้ายหาเสียงได้ รวมทั้งงบประมาณชั่วคราวสำหรับหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ จะหมดลง และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดรับซองข้อเสนอโครงการท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 และวันที่ 18 ก.พ. สภาพัฒน์ แถลงตัวเลข GDP ไตรมาส 4/61
ด้านนายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์โกลเบล็ก จำกัด กล่าวว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มผันผวน คาดจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 1,630-1,670 จุด แนะกลยุทธ์ลงทุนในหุ้นได้ประโยชน์จากการเลือกตั้ง VGI, PLANB, MACO, CPALL, MAKRO, BJC และ TKS ส่วนหุ้น mai ได้แก่ TACC, LIT และ CRD รองลงมา หุ้นได้อานิสงส์มาตรการคืน VAT 5% จากการกระตุ้นชอปช่วงตรุษจีนระหว่าง 1-15 ก.พ. เช่น CPALL, MAKRO และหุ้นที่ได้อานิสงส์ขยายเวลาฟรีค่าธรรมเนียมนักท่องเที่ยว เช่น AOT, CENTEL, ERW
สำหรับแนวทางการลงทุนในทองคำ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล. โกลเบล็ก กล่าวว่า การตกลงกรอบเงื่อนไข Brexit ภายในอังกฤษ ที่ยังไม่ลงตัว ส่งผลให้ทั้งเงินยูโร และเงินปอนด์ แกว่งอ่อนค่า แต่จากการที่สหรัฐฯกดดันยุโรปอย่างหนักเกี่ยวกับ 5G เนื่องจากประเทศหลักในกลุ่มยูโรโซน ต้องการนำเทคโนโลยีจีนมาร่วมพัฒนาประเทศ ในขณะที่สหรัฐฯ เปิดศึกอีกหลายด้านเกี่ยวกับสงครามการค้า ทั้งไม่เจรจากับจีนให้ต่อเนื่อง แต่ไปกดดันผ่านการนัดพบผู้นำเกาหลีเหนือแทน
นอกจากนี้ การยืนกรานสร้างกำแพงกั้นแนวชายแดนเม็กซิโก ซึ่งเพิ่มความขัดแย้งภายในประเทศ และมีโอกาสจะเกิด government shutdown อีกหลายครั้งตามมา มีผลทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐไม่ได้แข็งค่าเท่าใดนัก แต่สินทรัพย์ปลอดภัยในรูปสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐมีเงินไหลเข้ามากขึ้น โดยมีการชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ Fed เป็นปัจจัยบวกสนับสนุน
อีกทั้ง การที่ประเทศเศรษฐกิจสำคัญต่างๆ ของโลกต่างมีสัญญาณชะลอตัวลงเรื่อยๆ ทำให้เงินทุนกลับมาไหลเข้ากลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ แต่เงินบาทอาจไม่แข็งค่าขึ้น และมีแนวโน้มจะสวิงผันผวนตามปัจจัยภายในประเทศที่มีความไม่แน่นอนทางการเมืองก่อนการเลือกตั้งเป็นปัจจัยหลัก ถือว่าช่วยคลายแรงกดดันด้านราคาสำหรับทองคำในประเทศ
อย่างไรก็ตาม สัปดาห์นี้คาดการณ์ราคาทองคำตลาดโลกจะแกว่ง sideway ในกรอบระหว่าง 1,300-1,330 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ และยังไม่มีทิศทางที่ชัดเจนสำหรับภาพระยะกลาง จึงแนะนำให้เล่นเก็งกำไรในกรอบจำกัด ส่วนพอร์ตระยะกลางยังคงเน้นตั้งรับเมื่อราคาอ่อนตัว โดยพิจารณาเข้าซื้อมากขึ้น เนื่องจากเงินบาทส่งสัญญาณอ่อนค่า